ขบวนต่อมา คือ ขบวนที่มีหัวข้อว่า การฏิรูปและเปิดประเทศ
ขบวนที่กำลังเข้าสู่สนามขบวนนี้มี ๓๐๐๐ คน เป็นขบวนที่มีชื่อว่า "นิทานในฤดูใบไม้ผลิ" ผู้คนในขบวนนี้ถือ "หยิงชุนฮวา" ซึ่งเป็นดอกไม้ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ จุดเด่นของขบวนนี้ก็คือ ภาพขนาดใหญ่ของนายเติ้งเสี่ยวผิง ผู้ออกแบบการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนประดับอยู่บนรถ ขณะนี้ ฉากหลังที่จัตุรัสทียนอันเหมินเริ่มแปรอักษรที่มีความหมายว่า "ปลดปล่อยความคิด"
นายเติ้งสี่ยวผิงเป็นหัวหน้าแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์รุ่นที่ ๒ เป็นผู้ออกแบบการปฏิรูปเปิดประเทศ และการสร้างความทันสมัยของจีน เมื่อเดือนธันวาคมปี ๑๙๗๘ ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ ๓ ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ชุดที่ ๑๑ นายเติ้งเสี่ยวผิงเสนอต่อที่ประชุมให้สมาชิกพรรคและประชาชนทั่วประเทศต้องปลดปล่อยความคิด แสวงหาสัจจะจากความเป็นจริง ท่านยังได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีน จากนั้นมา จีนเริ่มดำเนินนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ เมื่อปี ๑๙๗๙ นาย เติ้งเสี่ยวผิง ริเริ่มให้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และอนุญาตให้เมืองริมฝั่งทะเล ๑๔ แห่งเปิดสู่ภายนอก อีกทั้งให้เปิดและบุกเบิกพัฒนาเขตใหม่ผู่ตงของนครเซี่ยงไฮ้ และผลักดันให้ท้องที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเปิดสู่ภายนอก เมื่อปี ๑๙๙๗ การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ ๑๕ จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ที่ประชุมครั้งนี้ได้พัฒนาทฤษฎีว่าด้วยการสร้างสรรค์สังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีนให้เป็นทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง
เพื่อแก้ไขปัญหาฮ่องกง มาเก๊าและไต้หวัน ให้ประเทศรวมกันเป็นเอกภาพ นายเติ้งเสี่ยวผิงได้พิจารณาจากสภาพความเป็นจริง เสนอแนวคิด "หนึ่งประเทศ สองระบอบ" เป็นครั้งแรก จากการเสนอแนวคิดนี้ เมื่อปี ๑๙๙๗ ฮ่องกงได้กลับคืนสู่จีน และ เมื่อปลายปี ๑๙๙๙ มาเก๊าได้กลับคืนสู่จีน
ทางด้านการต่างประเทศ นายเติ้งเสี่ยวผิงแสดงความเห็นว่า สันติภาพและการพัฒนาเป็นประเด็นใหญ่สองประการของโลกปัจจุบัน จึงเสนอให้ดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่สันติ เป็นอิสระ และเป็นตัวของตัวเอง ด้วยการชี้นำของท่านเติ้งเสี่ยวผิง เมื่อปี ๑๙๗๘ จีนและญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพ เมื่อปี ๑๙๗๙ จีนและสหรัฐฯสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อปี ๑๙๘๙ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโซเวียตคืนสู่สภาพปกติ ขณะเดียวกัน จีนเร่งพัฒนามิตรสัมพันธ์กับประเทศรอบข้างและประเทศโลกที่ ๓ อย่างแข็งขัน ซึ่งเป็นการเปิดฉากใหม่ในกิจการทางการทูตของจีน
จากภาคการปฏิบัติที่เป็นจริง ประชาชนจีนจึงมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องเดินหนทางของตนเอง และสร้างสรรค์สังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีน
|