เมื่อปีนขึ้นหอคอยเตือนภัยป้องกันไฟไหม้ของทางหลวงผ่านทะเลทรายคู่ปู้ฉีสายแรกในเขตห่างจิ่นฉี เมืองเอ่อร์ตัวซือ ทางหลวงสายนี้ยาว 115 กิโลเมตร ปูขึ้นด้วยยางมะตอยสีดำ ดูเหมือนดาบแหลมคมที่กำลังยื่นเข้าสู่ท้องทะเลทราย พื้นที่สองข้างทางหลวงต้องปลูกพืชที่ขึ้นตามทะเลทราย เพื่อรักษาทางหลวงไม่ให้ถูกทรายกลบ
นายไป๋ ฟู่หัว อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคมนาคมเขตห่างจิ่นฉี ปัจจุบันเกษียญอายุแล้ว เคยเป็นผู้รับผิดชอบสร้างทางหลวงดังกล่าว ก่อนที่จะเริ่มงานก่อสร้าง เขาต้องนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคเดินทางเข้าทะเลทรายเพื่อสำรวจออกแบบทางหลวงทะเลทราย เขากล่าวว่า การทำสำรวจ 1 เดือน กาน้ำหายไปหลายสิบอัน สาเหตุเพราะเมื่อกาน้ำวางตามเส้นทางที่เพิ่งได้สำรวจมา พอเดินไปข้างหน้าประมาณ 100 เมตร เท่านั้น กาน้ำก็ถูกทรายถมทับข้างล่าง
ระหว่างปี 1997 – 1999 ประชาชนหางจิ่นฉี จำนวนกว่า 130,000 คน ร่วมกันปลูกต้นไม้จำนวนหลายล้านต้นบนพื้นที่ทะเลทรายกว่า 20 ล้านเฮกต้าร์ ริมสองข้างทางหลวงสายนี้ ถ้าหากไม่มีพืชไม้เหล่านี้ เมื่อมีลมแรงพัดมา ทางหลวงจะถูกกลืนไปในทันที
จนถึงปัจจุบัน ประชาชนเอ่อร์ตัวซือ ได้สร้างแถบป่าไม้บริเวณโดยรอบทางตอนใต้และทางตอนเหนือของทะเลทรายคู่ปู้ฉี ซึ่งเป็นระบบป้องกันลมและทราย ระยะยาวกว่า 200 กิโลเมตร จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก ความกว้าง 3 – 5 กิโลเมตรจากทิศใต้ไปทิศเหนือ และยังสร้างทางหลวงผ่าทะเลทรายหลายเส้นทาง เพื่อแบ่งแยกทะเลทรายเป็นหลายเขต และสร้างกำแพงต้นไม้หรือที่เรียกว่าระบบนิเวศสีเขียวหลายชั้น จึงสามารถที่จะควบคุมการขยายตัวของทะเลทรายอย่างมีประสิทธิผล
ขณะที่ส่งเสริมให้ประชาชนท้องถิ่นปลูกต้นไม้ต้นหญ้าในทะเลทราย ต่อสู้กับทะเลทรายเพื่อความหวังชีวิตใหม่ รัฐบาลท้องถิ่นยังระดมให้วิสาหกิจและบริษัทเข้าร่วมในโครงการฟื้นฟูปรับปรุงระบบนิเวศ ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อช่วยเหลือและชี้นำประชาชนท้องถิ่นปลูกต้นไม้อย่างให้ได้ผล
สถิติปรากฏว่า ระหว่างการฟื้นฟูปรับปรุงระบบนิเวศของทะเลทรายคู่ปู้ฉี มีบริษัทวิสาหกิจกว่า 80 แห่งได้เข้าร่วมโครงการปลูกต้นไม้เพื่อควบคุมทะเลทรายและพัฒนาเศรษฐกิจทะเลทราย ในจำนวนนี้ บริษัทที่ขึ้นชื่อได้แก่กลุ่มบริษัทอี้ลี่ กลุ่มบริษัทอีไท่และกลุ่มบริษัทตงต๋า โครงการนี้มีความสำคัญมากที่ทำให้การควบคุมทะเลทรายคู่ปู้ฉีประสบความสำเร็จ
นายกาว เหมาหู่วัย 59 ปี เป็นชาวหมู่บ้านห่างจิ่นเน่าเอ่อ ตำบลกุ้ยถ่าลา ที่อยู่ภายในบริเวณทะเลทรายคู่ปู้ฉี แต่ก่อนเนื่องจากยากจนมาก เขามีอีกชื่อหนึ่งว่า “กาวขอทาน” ปี 2004 กลุ่มบริษัทอี้ลี่มีการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้ชาวนาท้องถิ่นที่มีความสามารถ เป็นผู้รับผิดชอบจัดทีมแรงงานเพื่อเข้าร่วมโครงการควบคุมทะเลทราย “กาวขอทาน” ได้เซ็นสัญญากับกลุ่มอี้ลี่ และนำพี่น้องหลายคนในหมู่บ้านจัดทีมแรงงาน เหมาที่ดินปลูกต้นไม้ตั้งแต่หลายเฮกต้าร์ จนถึงหลายสิบเฮกต้าร์ หลายร้อยเฮกต้าร์ จนถึงปีนี้ “กาวขอทาน” และทีมงามของเขาได้เหมาปลูกต้นไม้รวมประมาณ 10,000 เฮกต้าร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเงินทุนช่วยเหลือจากกลุ่มบริษัทอี้ลี่ นาย“กาวขอทาน”กลายเป็นคนที่มีรายได้เกินล้านหยวนในหมู่บ้าน และกลายเป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อในเขตนี้ เขากล่าวว่า หลายปีนี้ ต้นไม้มากขึ้น อากาศที่เป็นพายุทรายลดน้อยลง ถ้าไม่มีการควบคุมทะเลทราย ก็ไม่มีชีวิตที่ดีงาม
ปัจจุบันที่เขตทะเลทรายคู่ปู้ฉี มีทีมแรงงงานอี้ลี่ลักษณะดังกล่าวกว่า 200 ทีม สมาชิกทั้งหมดประมาณ 6,000 คน พวกเขามีรายได้เฉลี่ยประมาณ 40,000 หยวนต่อคนต่อปี
ที่เมืองน่าฉวี่เขตปกครองตนเองทิเบต ที่ห่างไกลจากทะเลทรายคู้ฉี แต่มีสิ่งที่เหมือนกันคือ ขาดแคลนต้นไม้ เมืองนี้เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 4,500 เมตร อากาศหนาวมาก มีออกซิเจนน้อย แต่ก่อนไม่สามารถปลูกต้นไม้สักต้น เมื่อปลูกต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ถึงฤดูหนาวก็จะหนาวตาย
เดือนพฤศจิกายนปี 2016 กลุ่มบริษัทอี้ลี่รับเหมาโครงการเทคโนโลยีด้านการปลูกต้นไม้เมืองน่าฉวี ปี 2017 ได้ปลูกต้นไม้ประมาณ 70,000 ต้น จนถึงปีนี้มีกว่า 50,000 ต้นโตขึ้น เมืองน่าฉวี่บนที่ราบสูงก็มีป่าไม้แล้ว
ปัจจุบัน เทคโนโลยีและประสบการณ์การควบคุมทะเลทรายคู่ปู้ฉี ถูกนำไปใช้ในอำเภอเมืองกว่า 200 แห่งของ 20 กว่ามณฑล ที่กระจายตามเขตทะเลทรายต่างๆ และปลูกต้นไม้ที่สามารถโตขึ้นกว่า 100,000 เฮกต้าร์
การใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละของประชาชนที่อาศัยตามเขตบริเวณโดยรอบของทะเลทรายคู่ปู้ฉี ได้เปลี่ยนพื้นที่ทะเลทรายกว่า 6,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่สีเขียวกว่า 3,200 ตารางกิโลเมตร อัตราพื้นที่ครอบคลุมด้วยป่าไม้และพืชไม้ ต่างเพิ่มขึ้นจาก 0.8% และ 16.2% ของปี 2002 มาเป็น15.7% และ 53% ของปัจจุบัน จำนวนสิ่งมีชีวิตก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก สภาพเลวร้ายทางนิเวศได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
ผลการสำรวจของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การป่าไม้จีนแสดงให้เห็นว่า พื้นที่ทะเลทรายของเขตคู่ปู้ฉีลดน้อยลงจาก 9,207 ตารางกิโลเมตรในปี 1986 มาเป็น 4,620 ตารางกิโลเมตรในปี 2015 ซึ่งลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่เขตหางจิ่นเน่าเอ่อ ซึ่งเป็นเขตที่สภาพนิเวศค่อนข้างร้ายแรง หลังจากการเริ่มต้นโครงการฟื้นฟูปรับปรุงทะเลทรายคู่ปู้ฉีแล้ว ระหว่างปี 1988 – 2016 มีการเกิดสภาพอากาศพายุทราย 50 ครั้งต่อปีลดลงเหลือ 1 ครั้งต่อปี สิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นจากประมาณ 10 ชนิดมาเป็นประมาณ 530 ชนิด สัตว์และพืชที่สูญหายไปเป็นเวลานานจำนวนกว่า 100 ชนิด อาทิ ห่านฟ้า กระต่ายและต้นหูหยางได้กลับมาสู่พื้นดินที่นี่อีกครั้ง
ตั้งแต่ปี 1988 รัฐบาลและประชาชนท้องถิ่นร่วมมือกับบริษัทและวิสาหกิจทั้งรัฐและภาคเอกชน ในการป้องกันและควบคุมทะเลทราย เวลาผ่านไป 30 ปี ปัจจุบัน พื้นที่ 1 ใน 3 ของทะเลทรายคู่ปู้ฉีกลายเป็นพื้นที่สีเขียวชุ่มชื่น สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติประกาศตัวเลขแสดงให้เห็นว่า โครงการฟื้นฟูปรับปรุงระบบนิเวศทะเลทรายคู่ปู้ฉีของจีน สร้างรายได้ 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับประชาชนท้องถิ่นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
และทุกวันนี้ ชาวบ้านท้องถิ่นสามารถเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะตามทุ่งหญ้าที่ปลูกขึ้นมาใหม่ ทะเลทรายคู่ปู้ฉีมีชื่อเสียงโด่งดังในจีนและทั่วโลก นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาชมการเปลี่ยนแปลงที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ จึงต้องสร้างโรงแรมดีๆ เพื่อต้อนรับแขกที่มาชมวิว และนักท่องเที่ยวที่มาผจญภัย เด็กๆ ก็ชอบการกระโดดลงสระว่ายน้ำท่ามกลางทะเลทราย
การขยายของพื้นที่ทะเลทรายถูกเรียกว่าเป็น “โรคมะเร็งของลูกโลก” องค์การกติกาสัญญาการป้องกันทะเลทรายสหประชาชาติคาดว่า จนถึงปี 2020 ทั่วโลกจะมีประชากรกว่า 50 ล้านคนต้องอพยพย้ายฐานเนื่องจากพื้นที่อาศัยกลายเป็นทะเลทราย แต่รูปแบบการควบคุมทะเลทรายคู่ปู้ฉีของจีน ถือเป็นยารักษาโรคที่มีประสิทธิผล
ปี 2013 สหประชาชาติหรือยูเอ็นมอบรางวัล “ผู้นำควบคุมป้องกันทะเลทรายทั่วโลก” ให้กับนายหวัง เหวินเปียว ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทอี้ลี่ ที่เป็นผู้นำในกระบวนการบำบัดควบคุมทะเลทรายคู่ปู้ฉี
ปี 2014 สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติประกาศว่า เขตฟื้นฟูปรับปรุงระบบนิเวศทะเลทรายคู่ปู้ฉีเป็น “เขตสาธิตเศรษฐกิจทางนิเวศทะเลทรายทั่วโลก”
ปี 2015 ผู้แทนสำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมยูเอ็นประกาศในการประชุมสภาพอากาศกรุงปารีสว่า “รูปแบบคู่ปู้ฉี”เป็นวิถีทางที่ดีในการป้องกันทะเลทราย และสร้างความผาสุกให้กับชาวโลก
ปี 2017 การประชุมสมัชชาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติครั้งที่ 3 มอบรางวัล “ผลสำเร็จตลอดชีพผู้พิทักษ์โลก” แก่นายหวัง เหวินเปียว
เดือนเมษายนปี 2018 จีนได้รับตำแหน่งประธานของกติกาสัญญาว่าด้วยการป้องกันและควบคุมทะเลทรายของสหประชาชาติเป็นครั้งแรก
(Bo/Lin)