ในวันสุดท้ายของปี 2018 นาย Jimmy Carter อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ The Washington Post แสดงความรำลึกถึงการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และจีน และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีพิพาททางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
เขากล่าวว่าการที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่มีมูลค่ารวมถึง 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,580,000 ล้านบาท) และจีนก็โต้ตอบด้วยการเพิ่มภาษีนำเข้าเช่นกัน สร้างผลกระทบไม่ดีให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหาย ต่อมาในการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินาทั้งสองประเทศได้ตกลงเลื่อนการดำเนินการเพิ่มภาษีนำเข้าออกไปอีก 90 วัน สิ่งนี้สร้างความเป็นไปได้ต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่ยั่งยืนของทั้งจีนและสหรัฐฯ อะไรคือสิ่งที่ทั้งสองประเทศควรทำเพื่อร่วมกันสร้างความก้าวหน้าที่ยากยิ่ง และเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และจีน?
ประการแรก ต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพเรื่องที่สหรัฐฯ ไม่พึงพอใจมาช้านาน เกี่ยวกับความไม่สมดุลทางการค้า การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และเหตุการณ์จริงที่นักธุรกิจสหรัฐฯ ที่เข้าไปลงทุนและดำเนินกิจการได้ประสบ ทั้งสองประเทศไม่ควรใช้คำว่า “ความมั่นคงของชาติ” มาเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงกิจกรรมทางธุรกิจอันถูกกฎหมายของแต่ละฝ่าย
ประการที่สองชาวสหรัฐฯ ควรรับรู้ว่าสหรัฐฯ ไม่มีสิทธิ์ในการกำหนดว่าจีนควรจัดการกับประชาชนจีนอย่างไร เช่นเดียวกับที่จีนก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงในกิจการของสหรัฐฯ จีนได้รักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดสภาวะความยากจนให้น้อยลง และให้ความช่วยเหลือพัฒนาประเทศอื่นๆ ผลสำเร็จเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
การเข้าถึงข้อมูลที่สมดุลเป็นหลักประกันให้สหรัฐฯ และจีนพยายามร่วมมือกันต่อไปเพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญที่ยากที่สุดอันโลกต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าปัจจุบันยังคงมีความขัดแย้งในปัญหาบางอย่าง แต่ความสนับสนุนของจีนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในความพยายามของสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินการส่งเสริมโครงการปลอดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี
Carter เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 39 มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นผู้บุกเบิกความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ม.ค. 1979