รายงานยังระบุว่า ผู้ปกครองจีนมีความปรารถนาที่แข็งแกร่งสำหรับการใช้จ่ายในการเรียนนอกชั้นเรียนของลูก โดยมีผู้ปกครองร้อยละ31.6 ที่ได้รับการสำรวจกล่าวว่า ไม่ว่าต้องจ่ายเงินเท่าไรก็ยินดีเพื่อให้ลูกได้เรียนพิเศษเพิ่มเติม ผู้ปกครองร้อยละ 26.6 กล่าวว่า ยินดีใช้เงินครึ่งหนึ่งของที่สามารถใช้จ่ายได้ในครอบครัวสำหรับการเรียนพิเศษของลูก ส่วนผู้ปกครองอีกร้อยละ 34.5 เห็นว่า เพดานการใช้จ่ายของเงินของครอบครัวที่สามารถจะใช้ได้ในด้านการเรียนพิเศษของลูกอยู่ที่ร้อยละ 20
ผลสำรวจของสื่อมวลชนจีนที่เกี่ยวข้องยังแสดงว่า ผู้ปกครองที่สมัครให้ลูกไปเรียนพิเศษ 3 แห่งขึ้นไปมีร้อยละ 18.72 สมัครเรียน 3 แห่งเป็นร้อยละ 20.85 สมัครเรียน 2 แห่งเป็นร้อยละ 26.54 และสมัครเรียน 1 แห่งเป็นร้อยละ 17.06 ส่วนผู้ปกครองที่ไม่ได้ส่งลูกไปเรียนพิเศษเลยมีเพียงร้อยละ 16.83
มีผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นว่า ความจริง แม้ว่าตลาดการสอนพิเศษช่วงปิดภาคฤดูร้อนมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีปัญหาอยู่มากมาย นายหยาง เนี่ยนหลู่ รองนายกสมาคมการศึกษาแห่งชาติจีนกล่าวว่า การขาดแคลนบุคลากรที่ได้มาตรฐานทางวิชาชีพ ทำให้การเรียนการสอนนอกชั้นเรียนมีระดับต่างกัน ครูของโรงเรียนสอนพิเศษก็มีระดับต่างกันเช่นกัน จึงส่งผลกระทบทางลบต่อทั้งแขนงงานนี้
ดังนั้น ผู้ปกครองควรค้นคว้าหาข้อมูลศึกษาทำความเข้าใจกับครูของโรงเรียนสอนพิเศษที่คิดจะส่งลูกไปเรียนว่าเป็นอย่างไร อย่างเช่น จุดประสงค์ของโรงเรียนนี้เป็นอย่างไร ครูผู้สอนสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไหน มีประสบการณ์ด้านการเรียนการสอนหนังสือไหม ถ้าลูกเรียนพิเศษที่นี่จะได้ความรู้เกิดผลดีอะไรบ้าง เพราะบางแห่งอาจโฆษณาเกินจริง จริงๆ แล้ว ครูผู้สอนเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัย
ผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยครุศาสตร์มณฑลส่านซีเห็นว่า ผู้ปกครองไม่ควรมีความกังวลมากเกินไปในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเด็ก เพราะว่า ความหมายของช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนก็เพื่อปล่อยให้เด็กออกจากความตึงเครียดจากการเรียนการสอน เด็กควรได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติและสังคมในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน จึงจะมีการเติบโตอย่างทั่วด้าน อย่าให้ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนกลายเป็นเทอมการเรียนหนังสืออีกเทอมหนึ่งกับเด็ก
ต่อไป เรามาดูความเข้าใจผิดของผู้ปกครองในการเลือกสมัครเรียนพิเศษให้กับลูกหลาน
หนึ่ง จุดประสงค์ที่ให้เด็กไปเรียนพิเศษ
มีผู้ปกครองส่วนใหญ่เห็นว่า ให้ลูกหลานไปเรียนพิเศษจะทำให้ได้ความได้เปรียบ ที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ดังนั้น สมัครคอร์สต่างๆ กับลูก แต่ไม่ได้คิดถึงความสนใจของเด็ก ซึ่งทำอย่างนี้จะทำให้เด็กสูญเสียความสนใจ จนทำให้เด็กค่อยๆ หมดความสนใจต่อการเรียน ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นผลดีสำหรับการพัฒนาระยะยาวของเด็ก ซ้ำยังส่งผลกระทบทางลบ ทำลายความคิดสร้างสรรค์ของเด็กด้วย
สอง อย่าใจร้อนมากเกินไป
สำหรับเด็กที่ไปเรียนพิเศษนั้น ต้องตามความสามารถด้านการเรียนรู้ที่ต่างกันของเด็กแต่ละคน โดยพัฒนาการในการเรียนรู้ของเด็กบางคนจะเร็ว บางคนอาจจะช้าหน่อย ผู้ปกครองอย่าใจร้อนต้องการเห็นผลได้เร็วมากเกินไป
และสาม ขณะเลือกสมัครเรียนพิเศษ พ่อแม่ผู้ปกครองบังคับลูกให้เรียนตามใจตนเอง
คือ มีผู้ปกครองจำนวนหนึ่งเลือกโดยไม่คิดถึงความสนใจของลูกหลาน บังคับให้เด็กเรียนพิเศษตามที่ตนเองชอบ อย่างเช่น อาจจะพ่อแม่ผู้ปกครองตอนเป็นเด็กอยากจะเรียนเปียโน แต่ไม่ได้เรียน ก็บังคับให้ลูกหลานเรียน ทั้งๆที่เด็กไม่สนใจไม่ชอบ ถ้าเป็นแบบนี้ ก็จะให้เด็กรู้สึกว่าการเรียนยาก เพราะไม่มีความสนใจ และอาจจะเบื่อไม่อยากไปเรียนและปฏิเสธที่จะเรียน
น่าจะมีพ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่าน กังวลว่าแล้วจะสมัครวิชาอะไรให้ลูกหลานเรียนดี เพราะถ้าจะพาไปเรียนเต้นรำ เมื่อเดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านมา ที่จีนมีข่าวว่าเด็กหญิงอายุ 4 ขวบในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ต้องเป็นอัมพาตครึ่งล่าง เนื่องจากฝึกทำสะพานโค้งขณะเรียนเต้นรำ ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลเด็กเมืองเจิ้งโจวว่า มีความหวังน้อยมากที่จะหายดีเป็นปกติ
และนี่ไม่ใช่ตัวอย่างความผิดพลาดเดียว ยังเคยมีเด็กที่เป็นอัมพาตครึ่งล่างขณะฝึกทำท่าสะพานโค้งด้วย ดังนั้น ต้องเลือกให้ดีว่าเด็กจะเรียนเต้นรำฝึกท่ายากๆได้หรือไม่ แล้วช่วงการปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่เป็นเวลายาวนานจะให้เด็กเรียนอะไรได้ และจะให้เริ่มต้นเรียนตั้งแต่อายุกี่ขวบจึงจะเหมาะ
Yim/kt