เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม กระทรวงการคลังสหรัฐฯจัดให้จีนเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการกระทำนี้ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานเกี่ยวกับประเทศที่คุมอัตราแลกเปลี่ยนของกระทรวงการคลังสหรัฐฯที่ตนเองกำหนดไว้ มีลักษณะของลัทธิเอกภาคีนิยมและลัทธิกีดกันทางการค้า ซึ่งจะทำลายกฎระเบียบระหว่างประเทศอย่างรุนแรง และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินของโลกอย่างมากด้วย
ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯแถลงว่า จีนสอดคล้องกับมาตรฐานเกี่ยวกับประเทศที่คุมอัตราแลกเปลี่ยน 1 ประการจากทั้งหมด 3 ประการ คือ จีนเกินดุลการค้าสหรัฐฯปีละ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจีนไม่ได้ทำการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อความได้เปรียบทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมแต่อย่างใด และเมื่อเวลาผ่านไปเพียงสองเดือนกว่าเท่านั้น กระทรวงการคลังของสหรัฐฯก็ได้กลับคำวินิจฉัยของตนเอง และทำในสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง
จากความเห็นพ้องกันขององค์การการค้าโลก รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นองค์การเฉพาะกิจในการบริหารจัดการเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ความเห็นทางวิชาชีพของกองทุนการเงินระหว่างประเทศจะเป็นเงื่อนไขบังคับแรกและเป็นพื้นฐานการวินิจฉัยว่า ประเทศใดประเทศหนึ่งมีการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ สหรัฐฯไม่มีอำนาจในการประเมินอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศอื่นโดยลำพังฝ่ายเดียว อนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศชี้ว่า อัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนเป็นไปตามพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีน แต่สหรัฐฯกลับละเมิดกฎระเบียบพหุภาคี มองข้ามผลการประเมินขององค์การที่มีอำนาจกำกับดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และตราหน้าจีนเป็นประเทศที่คุมอัตราแลกเปลี่ยน นับเป็นการกระทำที่มีลักษณะลัทธิเอกภาคีนิยมและลัทธิกีดกันทางการค้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของสหรัฐฯที่อยากครองความเป็นเจ้าและไม่ยอมให้ประเทศอื่นมีความเจริญรุ่งเรือง
ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนประสบสภาพอ่อนค่าลงในระดับหนึ่ง สาเหตุหลักคือได้รับผลกระทบจากลัทธิเอกภาคีนิยม ลัทธิกีดกันทางการค้า และสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อันสะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์อุปทานทางตลาด และการขึ้นๆ ลงๆ ของตลาดเงินตราต่างประเทศอย่างแท้จริง จีนได้ใช้กลไกลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนที่มีการปรับปรุงและการบริหารโดยถือความต้องการทางตลาดเป็นพื้นฐาน และพิจารณาจากเงินตราต่างประเทศหลายประเทศมาโดยตลอด อุปสงค์และอุปทานทางตลาดมีบทบาทสำคัญที่สุดในการกำหนดการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยน จีนในฐานะหน่วยเศรษฐกิจที่มีความรับผิดชอบและมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก ยึดมั่นในคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ให้ไว้กับการประชุมผู้นำกลุ่มจี 20 ทุกครั้งที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา สหรัฐฯจะยกระดับความขัดแย้งทางการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง จีนก็ยังยืนหยัดไม่ลดค่าเงินหยวน เพื่อเพิ่มกำลังแข่งขันทางการค้า รวมทั้งไม่คิดและจะไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือในการรับมือกับความขัดแย้งทางการค้าด้วย
เป้าหมายหลักที่สหรัฐฯตราหน้าจีน ให้เป็นประเทศคุมอัตราแลกเปลี่ยนนั้นคือ อยากจะกดดันจีนอย่างสุดขีดต่อไป ทำลายการคาดการณ์ของตลาด และสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจจีน แต่การกระทำเช่นนี้มีแต่จะทำลายผู้อื่นและตนเอง เพราะไม่เพียงจะทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนเท่านั้น หากยังจะขัดขวางการฟื้นฟูการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลกด้วย ปัญหาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯที่ไม่สมดุลกันนั้นเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การออมเงินภายในประเทศสหรัฐฯไม่เพียงพอ สหรัฐฯจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีระดับสูง ดอลลาร์สหรัฐฯมีบทบาทที่เป็นเงินตราต่างประเทศสำรอง สรุปได้ว่า สหรัฐฯต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของตนเอง ไม่ใช่ไปกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริงว่า ประเทศอื่นควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อความได้เปรียบทางการค้าที่ไม่ยุติธรรม
(yim/cai)