นายจู หรูกุย นักเรียนโรงเรียนมัธยมปี 2 หลังจากได้เดินทางลำพังคนเดียวไปมณฑลหูเป่ยเพื่อเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือชาวหูเป่ย โดยปิดบังไม่ได้ให้คุณแม่ทราบ และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้กลับมาถึงบ้าน พบกับคุณแม่อย่างปลอดภัย
นายจู หรูกุย เป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมปี 2 ของอำเภอเหมยเซี่ยน มณฑลส่านซี เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา เขาได้เดินทางไปโรงพยาบาลของอำเภอเซี่ยวชาง เมืองเซี่ยวกั่น มณฑลหูเป่ยโดยลำพังคนเดียว เพื่อเป็นอาสาสมัครในเขตผู้ป่วยแยก ซึ่งการเดินทางของเขาได้ปิดบังคุณแม่
นายจู หรูกุย วัย 18 ปี เป็นคนหนุ่มทั่วไปที่ชอบเล่นเกม แต่ไม่ถึงกับหลงติดเกม นอกจากนี้ เขาชอบอ่านข่าว ชอบติดตามสถานการณ์การเมือง ในสายตาของคนรอบข้าง นายจู หรูกุย สุขุมเยือกเย็นกว่าคนรุ่นเดียวกัน ทั้งนี้อาจจะเพราะว่าคุณพ่อของเขา ได้เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุเมื่อเขาอายุได้ 12 ปีเท่านั้น ทำให้เขาได้เข้าใจถึงความยากลำบากของชีวิตเร็วกว่าเด็กคนอื่นในรุ่นเดียวกัน
ก่อนเดินทางไปมณฑลหูเป่ย นายจู หรูกุย มีความตั้งใจที่จะไปร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือชาวหูเป่ยอย่างมาก และเขาได้เตรียมความพร้อมให้ตนเอง เพื่อบรรลุความตั้งใจนี้ หนึ่ง) รวบรวมค่าเดินทางจากเพื่อนๆ สอง) เตรียมสิ่งของฆ่าเชื้อ หน้ากากอนามัย เสื้อผ้าทั้งหมดที่ต้องใช้ระหว่างทาง และ สาม) ใช้ปากกาสีแดงเขียนกรอกใบสมัครเพื่อแสดงความตั้งใจของตน เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว เขาได้บอกกับคุณแม่ว่า จะไปหาเพื่อน แล้วก็ได้หิ้วกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านไปที่มณฑลหูเป่ย
ระหว่างการเดินทาง เขาได้รวบรวมข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับรหัสต่างๆ เช่น รหัสวีแชท, อาลีเพย์ และบัตรธนาคารต่างๆ ส่งข้อความไปให้เพื่อนสนิท และกำชับว่า ถ้าตนเองไม่สามารถกลับมาได้ กรุณาฝากไปให้คุณแม่เขาด้วย
เป้าหมายปลายทางของจู หรูกุย คือ เมืองอู่ฮั่น เขาได้นั่งรถไฟไปถึง ต่อจากนั้นจึงเรียกแท็กซี่ แล้วต้องเดินต่อ เนื่องจากปิดระบบคมนาคมแล้ว ซึ่งตอนนั้นเป็นหน้าหนาว เขาต้องเดินเป็นระยะทางถึง 110 กิโลเมตรโดยใช้เวลาสองวันหนึ่งคืน
ระหว่างทางขณะผ่านด่านตรวจ เจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดที่เห็นหนุ่มคนหนึ่งใส่หน้ากากอนามัย เดินลากกระเป๋าเดินทางมาคนเดียวนี้ ต่างรู้สึกตกใจ บางคนพูดโน้มน้าวให้เขากลับบ้าน บางคนพูดว่าจะส่งเขาไป แต่เขาได้ปฏิเสธหมด
จู หรูกุย เดินไปตามทางหลวงหมายเลข 107 เมื่อเหนื่อยก็นั่งหลับพิงกระเป๋าเดินทาง เช้าตรู่ของวันที่ 28 มกราคม เขาได้เดินทางถึงอำเภอเซี่ยวชาง เมืองเซี่ยวกั่น ตำรวจจราจรในด่านได้ต้อนรับเขา
จู หรูกุยเล่าว่า เวลานั้นตำรวจจราจรได้ทำบะหมี่สำเร็จรูปให้เขากิน และเขาได้ทราบจากการพูดคุยว่า โรงพยาบาลในเขตนี้ต้องการคนมาก ฉะนั้น เขาก็ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป
เมื่อวันที่ 28 มกราคม จู หรูกุยได้เดินทางถึงโรงพยาบาลประชาชนที่ 1อำเภอเซี่ยวชาง เมืองเซี่ยวกั่น มณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในเวลานั้น จำนวนผู้ป่วยของเมืองเซี่ยวกั่นกำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลเผชิญหน้ากับสภาพที่ขาดแคลนกำลังคน ขาดแคลนสิ่งของ และขาดแคลนเตียงคนไข้
เที่ยงวันที่ 28 มกราคม โรงพยาบาลได้ตรวจสุขภาพให้กับจู หรูกุย ยืนยันว่าเขามีสุขภาพแข็งแรงดี จึงจัดให้เขารับหน้าที่ช่วยส่งอาหารให้เจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล หลังจากนั้น 1 วัน จู หรูกุยยื่นขอไปช่วยในเขตผู้ป่วยแยกรักษา เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ขณะนั้นร้ายแรงมาก โรงพยาบาลจึงได้ฝึกอบรมการป้องกันควบคุมฆ่าเชื้อกับเขาเป็นพิเศษ
นางเจิ้ง ลี่ฮุย หัวหน้าพยาบาลแผนกอายุรกรรมโรคระบบทางเดินหายใจโรงพยาบาลประชาชนที่ 1 อำเภอเซี่ยวชางเล่าว่า เวลานั้นโรงพยาบาลมีผู้ป่วยกว่า 40 คน และต้องการกำลังคนอย่างมาก โดยเฉพาะในเขตผู้ป่วยที่มีอาการหนัก การทานข้าวการแปรงฟันล้วนต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งจู หรูกุยได้ช่วยทำงานมากมาย
การส่งอาหารให้ผู้ป่วย จัดการเศษอาหาร ช่วยพลิกตัว พาเข้าห้องน้ำ และสังเกตอาการของผู้ป่วยวิกฤตเป็นต้น เขาต้องใส่ชุดป้องกัน และทำงาน 6 ชั่วโมงทุกวัน จู หรูกุยเล่าว่า สิ่งที่ผมคิดมากที่สุดไม่ใช่ดูแลร่างกายของผู้ป่วยอย่างเดียว แต่ต้องการช่วยปรับอารมณ์ของคนไข้ด้วย
ช่วงต้นที่เกิดการแพร่ระบาดอย่างมาก ในห้องคนไข้ แทบไม่มีรอยยิ้มให้เห็น จู หรูกุย จึงคิดเริ่มเรียนภาษาหูเป่ย พยายามพูดเล่น เพื่อให้ห้องคนไข้มีชีวิตชีวาขึ้น
หัวหน้าพยาบาลเจิ้ง ลี่ฮุยเล่าว่า เมื่อคนไข้รู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกหวาดกลัว ดิฉินก็เล่าเรื่องจู หรูกุยให้ฟังว่า เขาได้ใช้ความพยายามในการเดินทางไกล มายังเขตผู้ป่วยนี้ เพื่อช่วยเหลือคนไข้ที่นี่ ดังนั้น จึงไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่พยาบาลหูเป่ยที่คอยช่วยเหลือพวกคุณ แต่ทั่วทั้งสังคมก็พยายามเป็นกำลังใจให้กับพวกคุณด้วย พวกคุณต้องมีความมั่นใจเอาชนะโรคนี้ให้ได้
เมื่อบรรยากาศดีขึ้น ความมั่นใจของคนไข้ก็เพิ่มมากขึ้น ต่อมา เมื่อถึงเวลาทานข้าว คนไข้ก็เริ่มยืนหน้าประตูเพื่อรอรับเขา คุณหวังที่ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว เล่าว่าเด็กคนนี้ขยันมาก เห็นใครไม่สะดวกก็รีบเข้าไปช่วย เขาทำงานเหนื่อยมาก ถึงบ่ายโมงกว่าๆ ก็ยังไม่ได้ทานข้าว เพราะเขาว่าต้องทำงานให้เสร็จก่อน ขณะทำงานไม่สามารถดื่มน้ำได้ เพราะชุดป้องกันที่ใส่จะถูกทิ้งทันทีเมื่อถอดออก คุณหวังฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและชื่นชมเขามาก
ตั้งแต่เข้าช่วยเหลือในเขตคนไข้แยกรักษาเมื่อวันที่ 29 มกราคมเป็นต้นมา จู หรูกุยต้องทำงานตลอด บางทีเมื่อเลิกงาน มือถูกรัดเป็นแผล แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดพักผ่อน เพราะเขาห่วงคนไข้ทุกคน
คุณยายอู๋ อายุ 70 ปี เป็นผู้ป่วยขั้นวิกฤต ซึ่งเขาเป็นผู้ดูแลตลอด แต่หลังผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คุณยายอู๋อาการไม่ดีขึ้นและจากไปในที่สุด จู หรูกุยแอบร้องไห้ นี่เป็นการร้องไห้ครั้งแรกหลังจากเขาตัดสินใจเดินทางไปหูเป่ยเป็นอาสาสมัคร
ทว่า อีกไม่นานก็มีข่าวดี ทีมรักษาพยาบาลพื้นที่ต่างๆ ทยอยกันมาช่วยเหลือหูเป่ย สิ่งของช่วยเหลือและเจ้าหน้าที่มีเพิ่มขึ้น คนไข้ที่รักษาหายดีออกจากโรงพยาบาลได้ก็เพิ่มมากขึ้น หลังจากได้ทำงานต่อเนื่องตลอดกว่า 30 วัน จู หรูกุยถูกบังคับให้พักผ่อน
หลังจากไปช่วยเหลือหูเป่ย 59 วันแล้ว จู หรูกุยได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย ผู้คนทั้งหลายได้ทราบการเป็นอาสาสมัครในหูเป่ยของเขาแล้ว ต่างชื่นชมว่าเขาเป็นฮีโร่ แต่จู หรูกุยตอบว่า เขาทำในสิ่งที่เขาทำได้เท่านั้น
คุณแม่จู หรูกุยเล่าว่า เมื่อรู้เรื่องก็อยากจะตีลูก แต่อีกใจก็สนับสนุนและภูมิใจในตัวลูก เธอคิดว่าโรงพยาบาลต้องการอาสาสมัครวัยหนุ่มสาวไปช่วยเหลือ ซึ่งลูกของเธอก็ไปทำสิ่งที่เขาสามารถทำได้ และเป็นเรื่องดีสำหรับลูก
การเดินทางไปหูเป่ยครั้งนี้ ทำให้ จู หรูกุย ผอมลง เกือบ 8 กิโลกรัม ประสบการณ์ดังกล่าวนี้ ทำให้เขายิ่งเข้าใจและทะนุถนอมชีวิตมากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน เขาอยากจะสมัครเข้าเป็นทหาร จู หรูกุย วัย 18 ปี ยังมีทางต้องเดินอีกยาวไกล และเขาพร้อมจะมุ่งหน้าไปอย่างองอาจกล้าหาญ