เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr. Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกแสดงความกังวลต่อพฤติกรรมของบางประเทศ ที่ขัดขวางประเทศอื่น ๆ ไม่ให้ได้รับวัคซีน โดยเรียกร้องว่า “ พวกเราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงวัคซีนชาตินิยม(vaccine nationalism) แบ่งปันวัคซีนที่มีจำกัดในขอบเขตทั่วโลกอย่างถูกวิธี จึงจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของทุกประเทศ ”
การกระทำของนักการเมืองสหรัฐฯ หลายคนไม่เพียงแต่ขัดขวางสิทธิของประเทศอื่น ๆ แต่ยังเป็น “ความเห็นแก่ตัวในการใช้วัคซีน”โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น ถือเป็นการบ่อนทำลายความร่วมมือการต่อต้านโรคระบาดของทั่วโลก
นักการเมืองสหรัฐหลายคนกำลังคิดจะใช้เรื่องวัคซีนต้านโควิด-19 มาเชื่อมโยงกับประเด็นการเมือง ใส่ร้ายประเทศจีนว่า “ขโมยเทคโนโลยีและข้อมูลวัคซีนของสหรัฐฯ”อย่างไม่มีเหตุผล กล่าวหางานวิจัยและผลิตวัคซีนของจีนเป็น “การทูตวัคซีน” ขณะเดียวกันนักการเมืองสหรัฐฯเหล่านี้ มุ่งหวังในสิทธิการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งสิทธิในการประยุกต์ใช้วัคซีน โดยหวังว่าจะนำมาซึ่งเงินจำนวนมหาศาลเข้ากระเป๋าตัวเอง
โดยนิตยสารไซแอนซ์(Science) เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯได้ลงนามในข้อตกลงการจัดซื้อวัคซีนกับบริษัทผลิตยาหลายแห่ง มีมูลค่าการตกลงที่สูงกว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากสถานการณ์ที่รุนแรงในสหรัฐ ต้องยอมรับว่ารัฐบาลสหรัฐฯต้องการวัคซีนเพื่อแก้ปัญหาภายในประเทศอย่างเร่งด่วน
แต่เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง บรรดาประเทศกำลังพัฒนาที่มีประชากรเป็นคนส่วนใหญ่ของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรด้านสาธารณสุข
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นิตยสาร “The Ecologist” ของอังกฤษเผยแพร่บทความหนึ่งระบุว่า การแย่งชิงวัคซีนของสหรัฐฯ กับประเทศอื่น จะทำให้ประเทศด้อยพัฒนาขาดโอกาสการได้รับวัคซีนจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อความร่วมมือด้านการต้านโรคระบาดทั่วโลก
การขับเคลื่อนการจัดสรรวัคซีนให้เป็นธรรมและมีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าจะมีประเทศจีนประเทศเดียวที่ทำได้ แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วอีกหลายประเทศก็ต้องมาร่วมรับผิดชอบ เหมือนที่ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส บอกว่า “ถ้าอยากให้ทั่วโลกฟื้นฟูเป็นปกติโดยเร็ว ทั้งโลกก็จำเป็นต้องฟื้นฟูพร้อมกัน กลุ่มประเทศจำนวนน้อยไม่สามารถทำให้ทั้งโลกเป็นพื้นที่ปลอดภัยและฟื้นฟูจากสถานการณ์โรคระบาดได้ ”
(Bo/Zi/Dan)