วันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตไทยได้จัดงานเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนครบรอบ 45 ปีที่กรุงปักกิ่ง โอกาสนี้ นาย อรรถยุทธ์ ศรีสมุทร เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีนได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)เกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน การขจัดความยากจน และการท่องเที่ยว
ผู้สื่อข่าว ท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีนในช่วง 45 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่สองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นต้นมา
เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน ความจริง ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนมีมานานเป็นพันปี ตั้งแต่สมัยราชธานีสุโขทัยก็ได้ส่งพระราชทูตมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนาน ในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น เพราะว่าจีนมีพัฒนาการในด้านการพัฒนาประเทศ การขจัดความยากจน การดูแลทุกษ์สุขของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการจะทำด้วย จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น ไม่ว่าในเรื่องของการร่วมกันลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างถนนและทางรถไฟ ด้านสาธารณะสุขและโรงเรียน เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่เราแลกเปลี่ยนและมีความร่วมมือกันหลายๆด้าน คนจีนปัจจุบันก็นิยมไปประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปประเทศไทยปีละเกือบ 11 ล้านคน มีนักท่องเที่ยวจากไทยมาจีนปีหนึ่งก็เกือบ 1 ล้านคน ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับประชากรที่มีแค่ 65 ล้านคน ความสัมพันธ์ระดับผู้บริหารประเทศและระหว่างประชาชนเป็นความสัมพันธ์ที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เข้าใจกัน อยู่บนพื้นฐานของการเคารพในความเป็นอยู่ ความร่วม ต่างก็มีความตั้งใจที่จะให้มีความร่วมมือมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ผู้สื่อข่าว ปัจจุบันนี้ ระเบียบโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ท่านมองความสัมพันธ์ไทย-จีนในอนาคตอย่างไร
เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน จีนถือว่าประสบความสำเร็จมากในการควบคุมการแพร่ขยายของโรคโควิด-19 มีการค้นคว้าในเรื่องของยารักษาและป้องกันการแพร่ขยาย ประเทศไทยก็ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ขยายด้วย และมีการค้นคว้าวิจัยด้วยเช่นกัน ได้รับการยอมรับในเวทีโลกว่า ระบบสาธารณสุขเป็นระบบที่มีความโดดเด่น สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ คิดว่าเราสามารถร่วมมือกัน จีนได้แจ้งมาแล้วว่า จีนพร้อมที่จะเปิดกว้าง ให้ทางฝ่ายไทยได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ ผลการวิจัยต่าง ๆ รวมทั้งร่วมกันวิจัยค้นคว้าในเรื่องวัคซีน เราต้องส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมากขึ้น ทั้งในระดับหมอพยาบาล และในระดับนักวิทยาศาสตร์ของสองประเทศ เป็นสิ่งที่ดีที่ทั้งประเทศไทยและจีนไม่ได้เจอปัญหาของการแพร่ขยายโรคโควิคในขั้นที่รุนแรงเท่ากับประเทศอื่น และสามารถดูแลในเรื่องของการค้นคว้าวิจัยและร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อสร้างกรอบคุ้มกันให้ระบบสาธารณสุขของแต่ละประเทศมีความเข้มแข้งมากขึ้น
ผู้สื่อข่าว การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจการท่องเที่ยวไทยอย่างมาก ในอนาคตไทยมีแผนที่จะพัฒนากิจการท่องเที่ยวอย่างไร
เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน กิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยพยายามเน้นในเรื่องของธรรมชาติมากขึ้น เรื่องของความยั่งยืน พยายามจัดการไม่ให้สถานที่ท่องเที่ยวมีคนเข้าไปมากเกินไป รักษาระยะห่างพอสมควร ดูแลเรื่องของคุณภาพ นำเรื่องของนิเวศวิทยา เรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องของความยั่งยืน เข้ามาผสมประสานกับเรื่องของการท่องเที่ยว จีนประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ซึ่งมีบรรยากาศที่ดี และก็มีความห่างไกลกัน ทำให้ไม่ได้มีการเข้าไปชมอย่างแออัด ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศสามารถที่จะร่วมมือกันได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมากขึ้น
ผู้สื่อข่าว ปี 2020 ถือเป็นปีที่มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศจีน เพราะว่าจีนตั้งเป้าว่าจะให้เป็นปีแห่งการบรรลุซึ่งสังคมอยู่ดีมีสุขและปีให้หลุดพ้นความยากจนอย่างสิ้นเชิง ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อการนี้
เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน จีนประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้นมากในการขจัดความยากจน ประชากร 600 ล้านคนสามารถหลุดพ้นจากภาวะความยากจนภายในช่วงเวลา 30 ปี เป็นช่วงเวลาที่ไวมาก ก็เป็นสิ่งที่ประเทศไทยได้ดำเนินการด้วย ประเทศไทยก็มีนโยบาย มีโครงการเร่งพัฒนาประเทศและขจัดความยากจนในประเทศพอสมควร โชดดีที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลก็สามารถหาอาหาร ปลูกพืชผัก เลี้ยงตัวเองได้ แต่จีนมีความสำเร็จในการพัฒนาระดับเมือง ระดับอุตสาหกรรมด้วย สามารถให้คนมีรายได้ที่ดีขึ้น คนเมื่อก่อนมีรายได้ไม่สามารถซื้อรถ ไม่สามารถมีที่อยู่อาศัย ปัจจุบันนี้มีที่อยู่อาศัยหลายแห่ง มีรถยนต์หลายคัน สามารถส่งลูกหลานไปเรียนในเมืองนอกในต่างประเทศได้ ก็ถือว่าเป็นการดำเนินการที่สำเร็จ ซึ่งทั้งจีนและไทยน่าจะร่วมมือกัน เพราะเราก็มีลักษณะโครงสร้างของสังคมที่ใกล้เคียงกัน สามารถที่จะเรียนรู้จากกันได้