ช่วง 4 วัน ที่ผ่านมาอินเดียพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่เฉลี่ยเกิน 300,000 รายต่อวัน ขาดแคลนยาและวัคซีน ถึงแม้อินเดียจะเป็นแหล่งผลิตวัคซีนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ปัจจุบันมีประชากรที่ได้วัคซีนเข็มแรกเพียง 8.6% ส่วนประเทศด้อยพัฒนาอื่นอยู่ในสภาวะที่ยิ่งกว่า ตัวเลขจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแสดงว่าไนเจอร์ แคเมอรูน ลิเบีย และปาปัวนิวกินี มีอัตราการฉีดวัคซีนเข็มแรกต่ำว่า 0.1% เมื่อเทียบกับตัวเลขของสหรัฐอยู่ที่ 41% ส่วนอังกฤษคือ 50% อิสราเอลคือ 61%

การจัดสรรวัคซีนอย่างไม่ยุติธรรมนั้นทำให้ประชาชนของประเทศด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนาต้องเผชิญหน้ากับไวรัสอย่างไม่มีการป้องกัน แต่บางกลุ่มประเทศกลับกักตุนวัคซีนว และควบคุมวัตถุดิบผลิตวัคซีนซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยครั้ง

รายงานจากศูนย์นวัตกรรมสุขภาพทั่วโลกแห่งมหาวิทยาลัยดุ๊กแสดงว่าจนถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้ สหรัฐอาจผลิตวัคซีนได้ 100 ล้านโด๊ส มากกว่าที่ต้องการ ส่วนมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์นเผยผลการวิจัยที่แสดงว่าประเทศพัฒนาแล้วดำเนินการผูกขาดวัคซีน อาจทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่ากรณีที่มีการจัดสรรวัคซีนอย่างยุติธรรม

ที่แย่ยิ่งกว่าคือ ภาวะตึงเครียดของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในอินเดียกำลังทำให้กระบวนการต่อต้านโควิด-19 ของทั่วโลกช้าลง อินเดียเป็นซัพพลายเออร์เจ้าใหญ่สุดของ “โครงการปฏิบัติการวัคซีนโควิด-19” ที่นำโดยองค์การอนามัยโลก และรับใบสั่งผลิตวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนหนึ่ง ปัจจัยที่โควิด-19 แพร่ระบาดอย่างรุนแรงและสหรัฐจำกัดการส่งออกนั้น จะชลอการผลิตวัคซีนให้ช้าลงประเทศที่กำลังรอคอยวัคซีนเหล่านั้นอาจต้องรออีกนาน

เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.อินกริด ที แคตซ์ ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อแห่งสถาบันแพทยศาสตร์ฮาร์วาร์ดร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านแพทยศาสตร์เผยแพร่บทความในนิตยสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England Journal of Medicine)  โจมตีลัทธิวัคซีนชาตินิยมว่า “มีวิสัยทัศน์แคบ ไม่ได้ผลและเป็นพิษต่อชีวิต” ปัญหาขั้นพื้นฐานของการจัดสรรอย่างไม่ยุติธรรมนั้นก็เกิดจากการมองวัคซีนและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์เป็นสินค้าแต่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สาธารณะ

Zhou/Dan/Bo