แต่ไหนแต่ไรมา จีนเป็นประเทศที่มีหลายชนเผ่าดำรงอยู่ด้วยกัน กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นจำนวนมากถึง 56 ชนเผ่า ประชาชาติจีนเป็นชื่อเรียกรวมของ 56 ชนเผ่าในจีน ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งของประชาชาติจีนได้มาจากความสามัคคีกันของชนเผ่าต่างๆ ซึ่งความสามัคคีระหว่างชนเผ่าต่างๆ เกี่ยวพันถึงการพัฒนาก้าวหน้าและความมั่นคงของสังคม ตลอดจนเอกภาพแห่งชาติ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจีนได้กำหนดนโยบายจำนวนหนึ่งเพื่อส่งเสริมความสามัคคีระหว่างชนเผ่าต่างๆ
นายสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีนระบุว่า ชนเผ่าต่างๆของจีนต้องเรียนรู้เข้าใจกัน รู้จักเคารพให้เกียรติกัน และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมและกลมกลืนเหมือนกับเมล็ดทับทิม
ทับทิมเป็นผลไม้สิริมงคลในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน โดยมีนิมิตหมายว่า ลูกหลานมากมี สมบูรณ์พูนสุข และเปี่ยมด้วยความเจริญรุ่งเรือง ทุกเมล็ดต่างชิดติดกันอย่างสนิทสนม เปรียบเทียบได้กับความสามัคคีของ 56 ชนเผ่าของจีน ที่รวมถึงความสามัคคีภายในและระหว่างชนเผ่าต่างๆ
รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีนระบุว่า ชนเผ่าต่างๆของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน รัฐบาลจีนจะประกันสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่ม อีกทั้งปกป้องและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าต่างๆอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติหรือกดขี่ชนเผ่าใด
ในจีน เมื่อเปรียบเทียบกับชนเผ่าฮั่นแล้ว ชนเผ่าอื่นๆอีก 55 ชนเผ่าของจีนมีประชากรจำนวนค่อนข้างน้อย จึงเรียกโดยรวมว่าชนกลุ่มน้อย อนึ่ง จากผลสำรวจประชากรทั่วประเทศจีนครั้งล่าสุดพบว่า ปัจจุบัน ชนเผ่าฮั่นในจีนมีประชากรประมาณ 1,286,310,000 คน คิดเป็น 91.11% ของประชากรทั้งหมด ส่วนประชากรชนกลุ่มน้อยมี 125,470,000 คน คิดเป็น 8.89% ของประชากรทั้งหมด
ปีหลังๆมานี้ จีนได้ใช้มาตรการ 3 อย่างในการเร่งพัฒนาเขตชนกลุ่มน้อย ประการแรก ดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ทางทิศตะวันตกของจีน เพราะทางตะวันตกของจีนเป็นเขตที่อยู่อาศัยสำคัญของชนกลุ่มน้อย โดยมีประชากรชนกลุ่มน้อย 71% จากกว่า 40 ชนเผ่าอาศัยอยู่ทางตะวันตกของจีน ด้วยเหตุนี้ การเร่งพัฒนาพื้นที่ทางทิศตะวันตกของจีน ก็เพื่อเร่งพัฒนาเขตชุมนุมของชนกลุ่มน้อยของจีน
ประการที่ 2 ใช้ปฏิบัติการเพื่อให้ชนกลุ่มน้อยตามเขตชายแดนมีชีวิตที่มั่งคั่งขึ้น โดยเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานของอำเภอชนกลุ่มน้อยจำนวน 135 อำเภอตามเขตชายแดนของจีน สร้างกลไกการเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้น เพื่อให้อำเภอเหล่านี้มีความสามารถพัฒนาตนเองให้มากยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชนกลุ่มน้อยตามเขตชายแดน
และประการที่ 3 พัฒนาชนกลุ่มน้อยที่มีประชากรค่อนข้างน้อยจำนวน 22 กลุ่ม ชนกลุ่มน้อยที่มีประชากรค่อนข้างน้อย หมายถึง ชนเผ่าที่มีประชากรไม่ถึงจำนวน 100,000 คน จีนมีชนเผ่าอย่างนี้รวม 22 กลุ่ม โดยมีประชากรทั้งหมดไม่ถึง 600,000 คน เนื่องจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์เป็นต้น ชนกลุ่มน้อย 22 กลุ่มนี้ตกอยู่ในสภาพด้อยพัฒนา รัฐบาลจีนจึงใช้นโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อกระตุ้นการพัฒนาของเขตเหล่านี้
ปัจจุบัน เขตชุมนุมของชนกลุ่มน้อยก็ให้ความสำคัญในการพัฒนาแบบการอนุรักษ์ระบบนิเวศ สีเขียวและมีคุณภาพ ตัวอย่างเช่น เขตไซ่ฮั่นป้า อำเภอปกครองตนเองชนเผ่าแมนจูและชนเผ่ามองโกล เมืองเฉิงเต๋อ มณฑลเหอเป่ย ทางเหนือของจีน ในอดีต ระบบนิเวศที่เลวร้ายเนื่องจากอยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูง ลมแรง เป็นทะเลทราย และมีฝนตกน้อย แต่ด้วยการใช้ความพยายามเป็นเวลากว่า 50 ปี ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในเขตไซ่ฮั่นป้าได้ปลูกป่าในพื้นที่กว่า 80,000 เฮกตาร์ กลายเป็นพื้นที่ป่าปลูกกว้างใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
จากการสำรวจของสถาบันวิทยาศาสตร์ป่าไม้ของจีนพบว่า เขตไซ่ฮั่นป้ามีทรัพยากรป่าไม้คิดเป็นมูลค่า 20,200 ล้านหยวน แต่ละปีสามารถให้บริการด้านระบบนิเวศมูลค่า 12,000 ล้านหยวน นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งน้ำสะอาดของกรุงปักกิ่งและนครเทียนจินถึง 137 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถปล่อยออกซิเจนได้ถึง 570,000 ตัน
จีนให้ความสำคัญกับการขจัดช่องว่างและความไม่เข้าใจระหว่างชนเผ่าต่างๆ พยายามเพิ่มพูนความไว้วางใจสามัคคี ให้ชนเผ่าต่างๆไปมาหาสู่ แลกเปลี่ยนความเห็นและผสมผสานกันให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทุก 4 ปีจะมีการจัดงานแสดงนาฏศิลป์ของชนกลุ่มน้อยทั่วประเทศ และทุก 5 ปีจะมีการจัดแข่งกีฬาดั้งเดิมของชนกลุ่มน้อยทั่วประเทศ นอกจากนี้ เดือนพฤษภาคม กรกฎาคม และกันยายนของทุกปี จะเป็นเดือนกระชับความสามัคคีระหว่างชนเผ่าของเขตซินเจียง, จังหวัดเฉียนตงหนัน มณฑลกุ้ยโจว, เขตมองโกเลียในกับจังหวัดปกครองตนเองชนเผ่าเกาหลีเหยียนเปียน มณฑลจี๋หลิน ตามลำดับ โดยจะคัดเลือกบุคคลหรือกลุ่มตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นในการส่งเสริมเชิดชูความสามัคคีระหว่างชนเผ่าประจำปี
ในเมืองโบราณหลงอู้ อำเภอถงเหริน จังหวัดปกครองตนเองชนเผ่าทิเบตหวงหนาน มณฑลชิงไห่ มีถนนพาณิชย์เก่าแก่โบราณสายหนึ่ง ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยของชนเผ่าทิเบต ชนเผ่าฮั่น ชนเผ่าถู่ ชนเผ่ามองโกล และชนเผ่าซาลา เป็นต้น เมืองนี้เป็นจุดสำคัญบนเส้นทางค้าขายใบชาเมื่อทศวรรษ 1880 ซึ่งชนเผ่าต่างๆได้ทำการค้าขายอย่างกลมกลืนมาตลอดแต่โบราณ
ที่อำเภอชิงเหอ เมืองอาเล่อไท่ เขตซินเจียง คุณยายชื่อ อาหนีพ่า อาลี่หม่าหง วัย 70 ปี เป็นชนเผ่าอุยกูร์ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เธอได้เลี้ยงเด็กกำพร้าชนเผ่าฮั่น ชนเผ่าหุย ชนเผ่าอุยกูร์ และชนเผ่าคาซัครวม 10 คน
ที่นครเซี่ยงไฮ้ มีโรงเรียนชั้นมัธยมต้นแห่งหนึ่งชื่อว่า โรงเรียนก้งคัง เป็นโรงเรียนประจำที่เปิดรับนักเรียนชนเผ่าฮั่นและชนเผ่าทิเบต เพื่อให้นักเรียนจากเขตทิเบตสามารถปรับตัวเข้ากับการเรียนและการใช้ชีวิต ทางโรงเรียนได้รณรงค์ให้ครูและนักเรียนชนเผ่าฮั่นจับคู่ช่วยเหลือกันกับนักเรียนชนเผ่าทิเบต อีกทั้งให้เขตชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลนักเรียนชนเผ่าทิเบตด้วย เมื่อนักเรียนจากทิเบตได้มีโอกาสใช้ชีวิตในครอบครัวชาวเซี่ยงไฮ้แล้ว ก็เหมือนพวกเขาได้มีพี่น้องและผู้ปกครองชาวเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้นมา ซึ่งตอนที่คุณพ่อคุณแม่ของนักเรียนทิเบตเหล่านี้เดินทางมาเยี่ยมลูกที่นครเซี่ยงไฮ้ นอกจากจะไปเยี่ยมที่โรงเรียนแล้ว ยังจะไปเยี่ยมครอบครัวชาวเซี่ยงไฮ้ที่ลูกพำนักอยู่อีกด้วย
เขตเป่ยหลุน เมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง มีประชากรกว่า 300,000 คน ในจำนวนนี้ มีชนกลุ่มน้อยจำนวนกว่า 5,000 คนจากชนกลุ่มน้อย 25 กลุ่ม ในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดเมื่อปีที่แล้ว ชนเผ่าต่างๆในเขตเป่ยหลุนพากันบริจาคสิ่งของและเงินเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 และได้ตั้งกลุ่มจิตอาสา “โรงอาหารกลางคืน” จัดส่งอาหารให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานด่านหน้าตอนกลางคืน ถือเป็นตัวอย่างที่ชนเผ่าต่างๆ ร่วมมือกันต้านโควิด-19 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชนเผ่าแห่งชาติของจีนได้แต่งตั้งเขตเป่ยหลุนเป็นเขตตัวอย่างด้านความสามัคคีระหว่างชนเผ่าระดับชาติ
ทุกวันนี้ จีนได้เดินหน้ากระบวนการการสร้างสรรค์ประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยอย่างรอบด้าน ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้ง 56 ชนเผ่าของจีนจะสามัคคีกันยิ่งขึ้น เพื่อร่วมกันฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองครั้งใหม่ให้กับประชาชาติจีน(Yim/Zhou)