ปี 2005 ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “เปียนเฉิงหว่านเป้า”หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของมณฑลหูหนานภาคกลางของจีน ในเส้นทางที่เขาเดินทางไปทำงาน ต้องเดินผ่านสถาบันหวายฮั่ว มีหลายครั้งที่เขาเห็นภาพแปลกๆที่สนามกีฬาของสถาบัน มีนักศึกษาชายคนหนึ่งอายุกว่า 20 ปี จับมือเด็กหญิงอายุน้อย บางครั้งก็นั่งบนพื้นหญ้า บางครั้งก็วิ่งไล่จับกันในเลนวิ่ง
ตามวิสัยของผู้สื่อข่าว เขารู้สึกถึงความผิดปกติ จึงถ่ายภาพเก็บไว้ และเดินไปพูดคุยกับนักศึกษาชายที่ชื่อหง จั้นฮุย แต่เรื่องที่เขาได้รู้ยิ่งสะเทือนใจมาก
ย้อนไปปีค.ศ. 1994 ที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งของอำเภอซีหัว มณฑลเหอหนาน เวลานั้น หง จั้นฮุยอายุเพียง 12 ขวบ แต่เรื่องรันทดที่สุดในโลกได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา หลังเที่ยงวันของฤดูร้อนวันหนึ่ง คุณพ่อที่ปกติเป็นคนมีเมตตา เกิดคลุ้มคลั่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า กระทั่งจับตัวลูกสาวทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนทำให้ตายทันที คุณแม่เข้าห้าม แต่ถูกพ่อชกจนล้มฟุบกับพื้น
เมื่อหง จั้นฮุยและน้องชายเลิกเรียนกลับบ้าน ได้เห็นคุณพ่อคลั่ง น้องสาวตาย แม่ถูกชกจนกระดูกแตก จิตของหง จั้นฮุยกระเจิง เขาสิ้นหวังในชีวิต จนวันหนึ่ง ที่พ่อของเขาหายเป็นปกติ ได้เก็บทารกแรกเกิดเพศหญิงที่มีผู้นำมาทิ้งไว้ใต้ต้นไม้หน้าหมู่บ้านมาเลี้ยง เมื่อหง จั้นฮุยเห็นเด็กหญิงคนนี้ เกิดความรู้สึกทันทีว่าเป็นน้องสาวของเขา การมาของเด็กหญิงคนนี้ ก็เพื่อช่วยสมานครอบครัวที่กำลังแตกอยู่
โชคร้ายทำลายชีวิตครอบครัวนี้อย่างหนัก ค่ารักษาคุณพ่อทำให้เงินสะสมถูกใช้จนหมด ทั้งยังติดหนี้จำนวนมาก คุณแม่บอกหง จั้นฮุยให้ส่งเด็กหญิงคนนี้ไปให้ที่อื่น แต่พออุ้มเธอออกจากประตูบ้าน เสียงร้องของเธอเหมือนหัวใจของเขาถูกค้อนทุบอย่างแรง
หง จั้นฮุยบอกกับแม่ว่า ผมจะเลี้ยงเธอเอง ผมเสียน้องสาวไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่อยากเสียครั้งที่ 2
หง จั้นฮุยตั้งชื่อให้เธอว่า “หง ชื่นชื่น” เขาคงไม่ได้คิดว่า ชะตาชีวิตของเขาจะผูกพันกับเด็กหญิงคนนี้ตลอด
เธอเป็นเด็กที่น่ารักสร้างเสียงหัวเราะให้กับครอบครัวที่ไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะมาเป็นเวลานาน แต่ความสุขแบบนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน
วันหนึ่ง คุณแม่เขาถูกพ่อที่เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกทำร้ายด้วยการชกต่อยอย่างแรง หลังจากนั้นแม่ก็หนีออกจากบ้านโดยไม่กลับมาอีกเลย น้องชายและน้องสาวนั่งร้องไห้ที่มุมบ้าน หง จั้นฮุยรู้สึกสิ้นหวังสุดๆ เวลานั้น อายุเขาเพียง 13 ปี
หง จั้นฮุยสะดุ้งตื่นจากเสียงร้องไห้ของน้องสาว ที่บ้านไม่มีเงินซื้อนมผง เขาจึงอุ้มเธอออกจากบ้านไปเคาะประตูบ้านที่มีหญิงคลอดลูกใหม่ๆ เพื่อขอน้ำนมให้กับน้องสาว
หลังจากนั้น เขาจะซักเสื้อผ้า หุงข้าว ปลูกต้นกล้า เก็บข้าวสาลี นี่เป็นชีวิตประจำวันของเด็กชายอายุ 13 ปี
น้องสาวไม่มีอาหารดีๆกิน หง จั้นฮุยก็ขึ้นต้นไม้ไปเก็บไข่จากรังนก มีครั้งหนึ่งตกต้นไม้ ขาหัก แต่เขาหัวเราะ เพราะไข่นกที่อุ้มในอกนั้นยังไม่แตก
นอกจากต้องดูแลคนในครอบครัว หง จั้นฮุยยังต้องขยันเรียนหนังสือ เขาเป็นเด็กฉลาด จบมัธยมต้น และสามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่ 1 ซีหัวที่เป็นมัธยมที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของมณฑลเหอหนาน นี่เป็นข่าวดีสำหรับครอบครัวทั่วไป แต่สำหรับบ้านหง จั้นฮุย นี่เป็นข่าวที่ทำให้เขาหนักใจมาก เพราะต้องห่างไกลจากบ้าน และต้องจ่ายค่าเล่าเรียนด้วย
ที่บ้านมีเงินสะสมทั้งหมดรวมกันแล้วยังไม่ถึงร้อยหยวน แต่ก่อน คุณพ่อเป็นช่างไม้ เมื่อหายจากอาการคลุ้มคลั่ง ก็กลับไปขอทำงานเป็นช่างไม้อีกครั้ง แต่เนื่องจากป่วยเป็นเวลานาน มือแข็ง ทำให้ปลายนิ้วมือนิ้วหนึ่งถูกเลื่อยไฟฟ้าตัดขาด
วันนั้น หง จั้นฮุยรู้สึกท้องฟ้าเป็นสีเลือด เขานั่งคิดที่บ้านเป็นเวลานาน แล้วสรุปว่า เขาต้องสู้ มิฉะนั้น บ้านนี้จะตกอยู่ในขุมนรกตลอดกาล
หง จั้นฮุยขายข้าวสาลีที่บ้าน ได้เงิน 50 หยวน เป็นค่ารถเข้าเมืองไปหางานทำ แต่เนื่องจากอายุน้อย ร่างกายอ่อนแอเพราะขาดสารอาหาร ไม่มีใครยอมจ้างเขาทำงาน
หง จั้นฮุยเดินไปถึงสถานที่ก่อสร้างแห่งหนึ่ง ยืนอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลา 1 วัน เพื่อของานทำ สุดท้าย หัวหน้าคนงานก่อสร้างที่เป็นคนมีความเมตตา ให้งานเบาๆ ในสถานก่อสร้างเป็นเวลา 2 เดือน หง จั้นฮุยได้เงิน 700 หยวน พอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว
สาเหตุที่ได้งานก็เพราะว่า หง จั้นฮุยบอกกับหัวหน้าคนงานก่อสร้างว่า “คุณลุงครับ ขอให้โอกาสทำงานสักครั้ง ผมต้องการเรียนหนังสือ”
ตั้งแต่นั้นมา หง จั้นฮุยเริ่มชีวิตที่พาน้องสาวไปเรียนหนังสือด้วยและทำงานไปด้วยเพื่อเลี้ยงครอบครัว เขาเคยตั้งแผงลอยขายเครื่องเขียน และทำงานทุกอย่างเพื่อหารายได้ แต่การเรียนมัธยมปลายค่อนข้างหนัก ผลการสอบของเขาตกต่ำลงเรื่อยๆ ครูและเพื่อนร่วมชั้นตำหนิเขาว่า มุ่งหาเงิน ไม่สนใจเรียน โดยที่หง จั้นฮุยไม่เคยอธิบายหรือโต้เถียง เพราะตั้งแต่อายุ 13 ปี เขาก็ถือว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว