วันที่ 11 พฤษภาคม นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนลงพื้นที่ตรวจงานมณฑลเหอเป่ย โดยได้เดินทางไปยังเมืองชางโจว (Cangzhou) เยี่ยมชมพื้นที่ไร่นาข้าวสาลีที่มีหวังจะได้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์และท่าเรือแห่งหนึ่งตามลำดับ
กำหนดการแรกในวันเดียวกันนี้ นายสี จิ้นผิงได้เดินทางถึงผืนนาข้าวสาลีแห่งหนึ่ง รับฟังรายงานเกี่ยวกับการรณรงค์โครงการเพาะปลูกข้าวสาลีที่ทนต่อความแห้งแล้งและความเป็นด่างของดินในพื้นที่
ปีหลังๆนี้ นายสี จิ้นผิงลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมไร่นาเพาะปลูกธัญญาหารหลายครั้ง โดยย้ำเสมอว่า “การประกันความมั่นคงด้านธัญญาหารควรกุมเมล็ดพันธุ์ไว้ในมือของตัวเองอย่างเหนียวแน่น”
นายสี จิ้นผิงระบุว่า “เส้นเกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนพื้นที่เพาะปลูก 1,800 ล้านหมู่ (ประมาณ 1.2 ล้านตร.กม.) ควรรักษาไว้ให้มั่น ส่วนพื้นที่ที่ดินเป็นด่าง จำนวน 500 ล้านหมู่ (กว่า 3.3 แสนตร.กม.) ก็ควรพัฒนาใช้อย่างเต็มที่ ถ้าพืชพันธุ์ที่ทนต่อดินเค็มเจริญขึ้น ก็จะมีส่วนสำคัญในการประกันโกดังอาหารของจีน”
กำหนดการที่ 2 ในเมืองชางโจว นายสี จิ้นผิงได้เดินทางไปที่ท่าเรือถ่านหินแห่งหนึ่ง รับฟังรายงานเกี่ยวกับผลประกอบการของท่าเรือ
ท่าเรือถ่านหินดังกล่าวในเมืองชางโจวเป็นชุมทางสำคัญระดับชาติของจีนในการขนส่งถ่านหินจากภาคตะวันตกไปยังภาคตะวันออก และการขนส่งถ่านหินจากภาคเหนือไปยังภาคใต้ ปีที่แล้ว ท่าเรือถ่านหินดังกล่าวมีปริมาณขนถ่าย 212 ล้านตัน อยู่อันดับ 1 ท่าเรือของจีนด้านปริมาณขนถ่ายถ่านหินติดต่อกัน 4 ปี
นอกจากย้ำเรื่องการถือชามข้าวไว้ในมือของตัวเองอย่างเหนียวแน่นแล้ว นายสี จิ้นผิงยังย้ำด้วยว่า “ชามข้าวด้านพลังงานก็ควรถือไว้ในมือของตัวเองให้มั่นด้วย”
อนึ่ง การตรวจงานที่เมืองชางโจวครั้งนี้ การที่นายสี จิ้นผิงลงพื้นที่ไร่นาข้าวสาลีที่ทนต่อความแห้งแล้งและเป็นกรดด่าง สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านธัญญาหาร ซึ่งเป็น “เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง” ส่วนการลงพื้นที่ท่าเรือถ่านหินสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความมั่นคงด้านพลังงาน
(YIM/LING/CAI)