สี จิ้นผิง เคยกล่าวว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับกาลเวลาต้องนับด้วยร้อยปีพันปี เราต้องใช้ประโยชน์จากประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมดั้งเดิมอันดีงามของจีนในการบริหารปกครองประเทศ เพื่อนำประเทศชาติสู่ความทันสมัย สี จิ้นผิง เคยกล่าวโดยอ้างคำพูดของก็อทโฮลด์ เอฟราอิม เลสซิง (Gotthold Ephraim Lessing) นักเขียนชาวเยอรมันว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ควรเป็นภาระของความทรงจำ แต่เป็นแสงสว่างแห่งสามัญสำนึก”
สี จิ้นผิง ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาบอกเจ้าหน้าที่ว่า เวลาพิจารณาตัดสินดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องมีมุมมองทางประวัติศาสตร์ เขายกย่องวัฒนธรรมดั้งเดิมอันดีงามของจีนว่า เป็น “รากเหง้าและจิตวิญญาณ” ของประชาชาติจีน
ก่อนการประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 สี จิ้นผิงเขียนคำนำแก่หนังสือชุดเกี่ยวกับการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองแห่งประชาชาติจีน โดยเน้นถึงความสำคัญในการบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์
สี จิ้นผิงยังเน้นตลอดว่า ชาวจีนต้องมีความเชื่อมั่นในแนวทาง, ทฤษฎี, ระบบ, และวัฒนธรรมแห่งสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์ของจีน ในความเชื่อมั่น 4 ประการนี้ ความเชื่อมั่นในวัฒนธรรมของจีนนั้นมีความกว้างขวางลึกซึ้ง และความเป็นพื้นฐานมากที่สุด
ในทศวรรษที่ผ่านมา สี จิ้นผิงได้เดินทางไปเยี่ยมชมโบราณสถานทางวัฒนธรรมภายในประเทศหลายแห่ง และกล่าวว่า หากไม่มีอารยธรรมที่มีประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของจีน ก็จะไม่มีความเป็นจีน และหากปราศจากความเป็นจีน ก็จะไม่มีแนวทางการพัฒนาแห่งสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์จีนที่ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้
สี จิ้นผิง สนับสนุนการแลกเปลี่ยนและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมต่างๆ เพื่อหักล้างสิ่งที่เรียกว่า “การปะทะกันทางอารยธรรม” เขาย้ำว่า เราต้องเชิดชูส่งเสริมค่านิยมร่วมกันของมนุษยชาติในอารยธรรมจีน ความเคารพซึ่งกันและกัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการพัฒนาอารยธรรมของมนุษย์
นายมาร์ติน ฌาคส์ (Martin Jacques) นักวิชาการและนักวิเคราะห์การเมืองชาวอังกฤษกล่าวว่า จีนไม่ใช่แค่เป็นรัฐแห่งประชาชาติ (nation state) แต่เป็นรัฐแห่งอารยธรรมด้วย (civilization state) หากเราไม่เข้าใจในจุดนี้ ก็จะไม่สามารถเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับจีนอย่างถ่องแท้
ปัจจุบัน สี จิ้นผิง กำลังนำจีนสู่ความทันสมัยที่มีเอกลักษณ์ของจีน นักวิเคราะห์หลายๆคนมองว่า จีนกำลังสร้างรูปแบบใหม่ของอารยธรรมแห่งมนุษย์ สี จิ้นผิง ชี้ว่า ความทันสมัยของจีนต้องครอบคลุมประชากรจำนวนมหาศาล นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน มีความก้าวหน้าทั้งทางด้านวัตถุ วัฒนธรรม จริยธรรม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนต้องดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาที่สันติ ความทันสมัยของจีนไม่เพียงมีลักษณะทั่วไปของความทันสมัยในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังมีเอกลักษณ์ของจีนที่สอดคล้องกับสภาพภายในประเทศของจีนด้วย
สี จิ้นผิง กล่าวว่า ในกระบวนการมุ่งสู่ความทันสมัยแห่งสังคมนิยมที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน เราต้องไม่หวนกลับไปใช้นโยบายปิดประเทศที่โดดเดี่ยวตัวเอง และจะไม่เดินตามแนวทางที่ไม่ถูกต้องอื่น เช่น เปลี่ยนระบบการเมือง หรือละทิ้งระบบสังคมนิยม เราต้องเน้นการพึ่งพาตนเองในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และต้องมีความมั่นใจว่า อนาคตแห่งการพัฒนาและความก้าวหน้าของจีนกุมอยู่ในกำมือของเราเองอย่างมั่นคง
ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ภายในปี 2035 จีนจะบรรลุความทันสมัยขั้นพื้นฐาน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แห่งมนุษย์ที่มีประเทศประชากรกว่า 1 พันล้านคนได้บรรลุความทันสมัยโดยรวม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของจีนในกระบวนการพัฒนาโลกให้ทันสมัยนั้น แสดงให้เห็นถึงผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในภารกิจความก้าวหน้าแห่งมนุษยชาติ
ถึงเวลานั้น จีดีพีเฉลี่ยต่อหัวของจีนจะถึงระดับของประเทศพัฒนาแล้วระดับปานกลาง และประชากรผู้มีรายได้ระดับปานกลางในจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จีนจะจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่นำหน้าด้านนวัตกรรม นอกจากนี้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของจีนจะลดลงอย่างต่อเนื่องหลังแตะจุดสูงสุด ระบบรถไฟความเร็วสูงของจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่แล้ว จะมีความยาวเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
เส้นทางสู่ความทันสมัยของจีนไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกใหม่สำหรับประเทศต่างๆ ที่ต้องการขับเคลื่อนการพัฒนาไปพร้อมกับการรักษาความเป็นเอกราชของประเทศชาติ
นาย Humphrey Moshi ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษาแห่งมหาวิทยาลัย Dar es Salaam ประเทศแทนซาเนีย กล่าวว่า ความสำเร็จด้านการพัฒนาของจีนแสดงให้เห็นว่า ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถเอาชนะความยากจนและความล้าหลังได้ด้วยแนวทางที่ถูกต้อง ประเทศในแอฟริกาก็สามารถบรรลุความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาได้เช่นกัน
(yim/cai)