เมืองตุนหวงเป็นเมืองโอเอซิสกลางทะเลทรายโกบีที่ตั้งอยู่ในมณฑลกันซู่ ภาคตะวันตกของจีน เป็นเมืองเก่าแก่โบราณที่มีประวัติศาสตร์กว่า 2,000 ปี คำว่า “ตุน” ในภาษาจีนมีความหมายว่า ใหญ่ คำว่า “หวง” มีความหมายว่า รุ่งโรจน์ เมืองตุนหวง เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ในประวัติศาสตร์ของจีน
ตุนหวงได้เคยเป็นด่านสำคัญบนเส้นทางสายไหม เส้นทางการคมนาคมสำคัญจากจีนไปยังเอเชียกลาง ยุโรป และแอฟริการเหนือ
เส้นทางสายไหมมีความยาวกว่า 6,400 กิโลเมตร ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางทำการค้าขายระหว่างภาคตะวันออกกับภาคตะวันตกของโลกเท่านั้น หากยังเป็นเส้นทางการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของโลกอีกด้วย คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก ระบุว่า ในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชถึงศตวรรษที่ 16 เส้นทางสายไหมเป็นหลักฐานของการพัฒนาและการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนระหว่างวัฒนธรรมเร่ร่อนกับวัฒนธรรมภูมิลำเนา ถือเป็นตัวอย่างที่การค้าระยะทางไกลกระตุ้นการพัฒนาของเมือง และระบบบริหารชลประทานส่งเสริมการคมนาคมและการค้า

ตุนหวง ได้เคยเป็นแหล่งบรรจบของอารยธรรมจีน อารยธรรมอินเดีย อารยธรรมกรีซ และอารยธรรมอาหรับ ได้เคยเป็นแหล่งบรรจบของศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาเต๋า ศาสนายูดาห์ และศาสนาฮินดู และได้เคยเป็นแหล่งบรรจบของวัฒนธรรมชาติพันธุ์ต่าง ๆ กว่า 10 ชาติพันธุ์
ตุนหวงขึ้นชื่อด้วยถ้ำหินที่เจาะบนหน้าผาในช่วงศตวรรษที่ 4-14 อย่างต่อเนื่องกันเป็นเวลาถึง 1,000 ปี เวลานั้น ตุนหวงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมบนเส้นทางสายไหม และเป็นสถานที่แห่งแรกของจีนที่ได้สัมผัสเข้าถึงพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยดินฟ้าอากาศที่แห้งแล้งและอุณหภูมิต่างกันมากระหว่างกลางวันกับกลางคืน ตลอดจนภูมิประเทศที่มีเอกลักษณ์ จึงมีการสร้างวัดในถ้ำไว้เป็นที่สักการะบูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดขึ้นของถ้ำหินแห่งตุนหวง
หลวงพ่อเล่อ จุน เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างถ้ำแห่งแรกในตุนหวง ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 366 มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อเล่อ จุน ทรงพบเห็นแสงสีทองบนเนินทรายหมิงซา ในตุนหวง ราวกับว่า พระพุทธเจ้าหลายพันองค์ปรากฏ หลวงพ่อเล่อ จุน ทรงคิดว่า แถวนี้ต้องเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงชี้นำให้ขุดถ้ำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสําหรับพระสงฆ์ ต่อมาภายหลังมีการก่อสร้างถ้ำรุ่นต่อ ๆ ไป ตุนหวงจึงมีถ้ำพุทธศิลป์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถึงศตวรรษที่ 7 ของราชวงศ์ถัง ตุนหวงมีถ้ำพุทธศิลป์มากกว่า 1,000 ถ้ำ
ปัจจุบัน ตุนหวงมีถ้ำหินเหลือจำนวน 812 ถ้ำ ซึ่งเรียงรายอยู่บนหน้าผาที่มีความยาวกว่า 1,600 เมตร ถ้ำเหล่านี้สร้างเป็น 2-3 ชั้น บางที่มี 4 ชั้น มองจากทางไกลเสมือนรังผึ้ง ถ้ำเหล่านี้ได้รวบรวมสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมฝาผนังให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ถ้ำโม่เกา เป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดและอายุเก่าแก่มากในตุนหวง โดยแบ่งเป็นเขตเหนือกับเขตใต้ เขตใต้มี 492 ถ้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ไหว้พระและประกอบพิธีทางพุทธศาสนา จึงเต็มไปด้วยภาพวาดและประติมากรรมทางพุทธศาสนา ส่วนเขตเหนือของถ้ำโม่เกามี 243 ถ้ำ ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์และช่างฝีมือต่าง ๆ ในการก่อสร้างถ้ำ ในถ้ำเหล่านี้ มีเครื่องใช้ประจำวันต่าง ๆ แต่ไม่มีประติมากรรมและภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ถ้ำหมายเลข 96 ของถ้ำโม่เกามีชายคาไม้สีแดงนอกถ้ำ 9 ชั้นสูง 45 เมตร ซึ่งเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดและสถานที่สําคัญของถ้ำโม่เกา ในถ้ำนี้มีพระพุทธรูปสูง 35.5 เมตรองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำแห่งตุนหวง

“เฟยเทียน” หรือนางฟ้าล่องรอยในอากาศ เป็นเอกลักษณ์ของศิลปะถ้ำแห่งตุนหวง เล่ากันว่า “เฟยเทียน” ทั้งหมดมีจำนวน 6,333 รูป “เฟยเทียน” เหล่านี้ไม่มีความแตกต่างระหว่างชายและหญิง และไม่มีความแตกต่างระหว่างหน้าที่ “เฟยเทียน” จะไม่แตะต้องไวน์และเนื้อสัตว์ โดยถือธูปเป็นอาหาร เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรากฏ ย่อมจะมี “เฟยเทียน” อยู่ล้อมรอบ ทุกครั้งที่จัดงานทางพุทธศาสนาบนสวรรค์ “เฟยเทียน” จะปฏิบัติงานโยนดอกไม้ และร้องรําทำเพลง เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้า
ประติมากรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญของถ้ำแห่งตุนหวง ส่วนมากเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะแตกต่างกัน และงดงามตามยุคสมัยของการก่อสร้างซึ่งสืบต่อยาวนานนับพันปี
พร้อมกับการพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเล เส้นทางสายไหมทางบกก็เสื่อมความนิยมไปเพราะภัยสงคราม ตุนหวงก็ตกในสภาพซบเซาลง จนถึงเมื่อปี ค.ศ. 1900 นักพรตลัทธิเต๋ารูปหนึ่งได้พบถ้ำที่ถูกปิดผนึกไว้โดยบังเอิญที่เมืองตุนหวง ซึ่งเป็นที่เก็บซ่อนพระคัมภีร์ทางศาสนา จดหมายเหตุ บันทึกทางประวัติศาสตร์ ตำรา และหนังสือเกี่ยวกับประเพณี สังคม และการเมือง ตลอดจนภาพเขียนและโบราณวัตถุต่างๆ จำนวนกว่า 50,000 ชิ้น ถ้ำนี้คือถ้ำหมายเลข 17 ของถ้ำโม่เกา
การค้นพบดังกล่าว ทำให้ตุนหวงได้เข้าสู่สายตาของชาวโลกอีกครั้ง และกลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางการศึกษาด้านวัฒนธรรมจีนโบราณ และแหล่งจาริกแสวงบุญไปในทันที แต่ขณะเดียวกันบรรดานักแสวงโชค และพวกล่าอาณานิคมได้เข้าไปฉกฉวยสมบัติล้ำค่า ลักลอบขนย้ายออกนอกประเทศจีนไปเป็นจำนวนมาก ถือเป็นความหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของจีน
หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้น มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยตุนหวง และพิพิธภัณฑ์ตุนหวงขึ้นตามลำดับ เพื่อคุ้มครองความยิ่งใหญ่และความรุ่งโรจน์ของเมืองตุนหวง เนื่องด้วยความสำคัญและคุณค่าของถ้ำหินในเมืองตุนหวง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นที่สนใจของนักวิชาการจีนเท่านั้น หากยังได้ดึงดูดความสนใจของนักวิชาการต่างประเทศอีกด้วย ตลอดจนก่อรูปขึ้นเป็นตุนหวงวิทยาหรือตุนหวงศึกษา ซึ่งเป็นศาสตร์เกี่ยวกับศิลปะถ้ำหินในเมืองตุนหวง ประวัติศาสตร์เมืองตุนหวง และเอกสารสมัยโบราณที่เกี่ยวข้องกับเมืองตุนหวง
ค.ศ. 1987 องค์การยูเนสโกจัดถ้ำโม่เกาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมโลก โดยระบุว่า ถ้ำโม่เกาที่แกะสลักบนหน้าผาที่อยู่เหนือแม่น้ำต้าชวนทางตะวันออกเฉียงใต้ของ โอเอซิสตุนหวงในมณฑลกานซู่ เป็นขุมทรัพย์ศิลปะทางพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดและใช้งานเป็นเวลายาวนานที่สุดในโลก และแสดงถึงความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ของพุทธศิลป์ระหว่างศตวรรษที่ 4 ถึง 14 นอกจากนี้ ถ้ำโม่เกายังเป็นหลักฐานของวิวัฒนาการของพุทธศิลป์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ถ้ำโม่เกามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ผลงานเหล่านี้ให้เนื้อหาที่หลากหลายและมีชีวิตชีวา ซึ่งพรรณนาถึงการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปะ และศาสนาในทางตะวันตกของจีนในยุคกลาง


