โดย รศ.วิภา อุตมฉันท์
ช่วงนี้ไม่มีข่าวไหนดังเท่ากับข่าวการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ของบริษัทคู่แข่งยักษ์ใหญ่ 2 ค่ายในเวลา ห่างกันเพียง 2 สัปดาห์ Huawei เปิดตัว “Huawei Mate 60 pro” เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ส่วน iPhone เปิดตัว “iPhone 15” วันที่ 13 ก.ย. ก่อนหน้าที่ iPhone จะเปิดตัว มีข่าวแพร่สะพัดว่าทางการจีนมีคำสั่งห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกคนใช้ iPhone ในการติดต่อพูดคุยกิจการที่เกี่ยวข้องกับทางราชการ ต่อมาก็มีข่าวอีกว่าจีนจะขยายข้อห้ามนี้ให้ครอบคลุมไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นด้วย แม้ข่าวนี้จะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนออกมาปฏิเสธข่าว อ้างว่าเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเหมาะสมในการใช้มือถือต่างชาติ ซึ่งสามารถทำงานได้เหมือนสมองกลของมนุษย์ จึงไม่สมควรที่จะนำไปใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารในทางราชการและเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ คำสั่งห้ามนี้จะเป็นข่าวลือหรือข่าวจริงก็ตาม แต่เมื่อข่าวออกมาแล้วก็มีผลทำให้ราคาหุ้นของ iPhone ที่กำลังจะเปิดตัวรุ่นใหม่ตกลงไปทันที 3-4%
ในขณะที่ Huawei ซึ่งไม่ได้ออกรุ่นใหม่มานานกว่า 3 ปีแล้ว เพราะถูกอเมริกาปิดล้อมทางเทคโนโลยี ไม่ให้จีนมีโอกาสเข้าถึงชิพชั้นสูงจากต่างประเทศ เช่น บังคับให้บริษัทในสหรัฐฯต้องได้รับอนุญาตก่อนส่งออกชิพที่มีความละเอียดอ่อนไปให้จีน มีถึงขั้นสั่งจับตัวลูกสาวบริษัท Huawei “เมิ่งหว่านโจว” ขณะเดินทางไปแคนาดาไปกักตัวอยู่ถึง 3 ปี (ปัจจุบันเมิ่งหว่านโจวขึ้นมาเป็นประธานบริษัท Huawei แล้ว) อีกทั้งจูงใจและบีบคั้นพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฯลฯ ให้ช่วยกัน “บีบคอหอย” ไม่ให้จีนมีทางออก ฝ่ายจีนก็ตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกแร่ “แกลเลียม” และ “เยอร์มาเนียม” ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในการผลิตไมโครชิพ เพราะ rare earth ทั้งสองชนิดนี้อยู่ในจีนถึงเกือบ 90% ของโลก
เมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลแล้ว การตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามที่บีบคอหอยอยู่ด้วยคำสั่งห้ามคนจีนใช้มือถือ Apple เพื่อให้ Apple หมดหนทางทำมาหากินในจีน ไม่น่าจะเป็นวิธีการที่จีนเลือกใช้ เพราะขณะนี้จีนเป็นฐานการผลิตหลักและเป็นตลาดซื้อขายใหญ่ที่สุดของ Apple แต่ละปี Apple ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนจีนมีงานทำนับล้าน ๆ คน วิธีที่จะคลายมือที่บีบคอหอยให้คลายออกต้องไม่ใช่ด้วยกลวิธีหยาบ ๆ ตื้น ๆ จีนมีวิธีที่ดีกว่านั้น นั่นคือ“การพึ่งลำแข้งตนเอง” ซึ่งเป็นกลเม็ดที่จีนถนัดที่สุดทุกครั้งที่ต้องประสบวิกฤต และทุกครั้งกลเม็ดนี้ก็ช่วยให้จีนเอาตัวรอดได้และพัฒนาเติบใหญ่ยิ่งขึ้นกว่าคู่แข่งได้
“การพึ่งตนเอง” เป็นประสบการณ์ที่จีนใช้ตั้งเริ่มก่อตั้งประเทศใหม่ ๆ สมัยนั้นจีนพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากรัสเซียในการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อป้องกันตนเองจากการบุกรุกของอเมริกา แต่แล้วเมื่อรัสเซียเปลี่ยนผ่านจากยุคเลนิน-สตาลิน รัสเซียก็เริ่มเปลี่ยนสีแปรธาตุ ครุสชอฟสั่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดบินกลับจากจีนทันที ปล่อยให้จีนต่อสู้ด้วยสองมือเปล่า ๆ จนในที่สุดก็สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์และทดลองระเบิดปรมาณูได้สำเร็จ ซ้ำยังอวดศักดาสร้างจรวดของตัวเองยิงขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ นี่คือผลงานจากการพึ่งตนเองเป็นครั้งแรกของจีน
จากนั้นจีนก็ใช้คำขวัญพึ่งตนเองนี้เป็นทางออกทุกครั้งที่ประสบวิกฤต และใช้เป็นบันไดต่อยอดขึ้นสู่ความสำเร็จที่สูงขึ้นอีกทุกครั้ง ตัวอย่างในยุคปัจจุบันที่มีให้เห็นมีอยู่มากมาย นับตั้งแต่การศึกษาเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงจากญี่ปุ่น แล้วค่อย ๆ พัฒนาต่อยอดจนขณะนี้รถไฟความเร็วสูงของจีนวิ่งได้เร็วกว่ญี่ปุ่นด้วยอัตราความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 กม.ต่อชม. รถไฟแม่เหล็กไฟฟ้าระบบ meg lev จีนก็ศึกษาแบบอย่างจากเยอรมัน แล้วพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันสามารถวิ่งได้ 600 กม.ต่อชม. ในด้านอวกาศ จีนถูกอเมริกากีดกันไม่ให้เข้าร่วมโครงการ NASA แต่จีนก็ไม่สน พัฒนาเทคโนโลยีของตนเองจนปัจจุบันจีนมีสถานีอวกาศลอยฟ้า “เทียนกง” พร้อมที่จะใช้เป็นฐานปฏิบัติการให้นักวิทยาศาสตร์ผลัดเปลี่ยนกันใช้ยานอาวกาศ “เสินโจว” ขึ้นไปวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เป็นระยะ ๆ
การยกระดับเทคโนโลยีไม่ให้ด้อยกว่าคู่ต่อสู้ อยู่ในจิตใจของผู้นำจีนตลอดมา ในช่วง 2-3 ปีนี้ ทางการจีนได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลให้กับภารกิจนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าตัวเลขในแผนพัฒนาฯฉบับหลังสุดนี้ (2021-2025) จีนไม่สนใจกำหนดเป้าหมายการเติบโตทาง GDP แต่กลับไปตั้งเป้าให้กับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเป็นหลัก โดยได้เพิ่มงบประมาณให้ R&D ไว้ไม่ต่ำกว่า 7% ทุกปี พุ่งเป้าไปที่เทคโนโลบีสมัยใหม่ทุกชนิด การสำรวจอวกาศ การสำรวจโลกใต้มหาสมุทร และการสำรวจขั้วโลก เป็นต้น
เมื่อจีนเปิดตัว Mate 60 Pro ของ Huawei เมื่อเร็ว ๆ นี้ อเมริกาได้เอาไปผ่าพิสูจน์ชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด พบว่าอุปกรณ์ทุกชิ้น Made in China ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร ชิพที่ใช้ผลิตโดยบริษัท SMIC ของจีนเอง เป็นสมาร์ทโฟนรุ่น 5G ที่สื่อสารผ่านดาวเทียมโดยตรงได้ จึงไม่มีปัญหาเรื่องบอดสัญญาณเมื่ออยู่นอกพื้นที่เครือข่ายที่ให้บริการ
อย่างไรก็ตามจีนยอมรับว่า ชิพที่ใช้ใน Mate 60 Pro รุ่นล่าสุด ยังใช้ชิพระดับ 7 นาโน ซึ่งใหญ่กว่าชิพของคู่แข่งต่างชาติที่ผลิตชิพได้เล็กกว่าเพียง 3-4 นาโนเท่านั้น