ทุกประเทศในโลกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ต่างก็มีวัน ๆ หนึ่งที่กำหนดให้เป็นวันสำคัญประจำชาติเรียกว่า “วันชาติ” การเลือกวันชาติมักกำหนดขึ้นจากเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชาตินั้น ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเมืองอย่างมีนัยะสำคัญ แต่ละปีเมื่อถึงวันชาติก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองกันด้วยรูปแบบต่าง ๆ กัน แต่จุดมุ่งหมายหลัก ๆ กลับตรงกัน คือเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รู้จักประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติและจดจำเหตุการณ์เหล่านั้นสืบต่อไปไม่รู้ลืม ยกตัวอย่างประเทศฝรั่งเศส เลือกเอาวันที่ 14 ก.ค. เป็นวันชาติ เพราะวันนั้นมวลชนนับแสน ๆ ในกรุงปารีสพร้อมใจกันลุกฮือขึ้นบุกทำลายคุกบาสติล (Bastille) ซึ่งเป็นตัวแทนของระบอบศักดินาแห่งราชวงศ์บูร์บอง (Bourbon) จากนั้นก็ให้ถือวันที่ 14 กค.เป็นวันชาติของฝรั่งเศสเรื่อยมาทุกปี
แต่บางประเทศเช่นประเทศไทยเรา เคยกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติ เพราะเป็นวันที่คณะราษฎร์ได้ทำปฏิวัติเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ แต่หลังจากที่จอมพลป. พิบูลสงครามได้ประกาศให้วันที่ 24 มิ.ย.เป็นวันชาติมานานกว่า 10 ปี จู่ ๆ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้ประกาศสำนักนายกฯ เปลี่ยนวันชาติจากวันที่ 24 มิถุนายน ให้เป็นวันที่ 5 ธันวาคมซึ่งตรงกับวันพระสมภพของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ให้เป็นวันชาติแทน (แต่เรียกว่า “วันพ่อแห่งชาติ”ก็มี ) จอมพลสฤษดิ์ให้เหตุผลที่ให้ล้มเลิกวันที่ 24 มิถุนายนว่า “มีความไม่เหมาะสมบางประการ” แต่ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าความไม่เหมาะสมนั้นคืออะไร
จากที่ยกมาเป็นตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าทุกประเทศต่างก็สรรหาวันสำคัญวันหนึ่งขึ้นมาเป็น “วันชาติ” แต่เหตุผลที่เลือกวันนั้น ๆ แตกต่างกันร้อยแปดพันเก้า วิธีการเฉลิมฉลองของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นกับการให้ความสำคัญของผู้นำในแต่ละยุค บางประเทศก็จัดเป็นงานใหญ่ มีการเดินขบวนสำแดงกำลังกันเอิกเกริก (เช่น ประเทศเกาหลีเหนือ) บางประเทศก็ทำพอเป็นพิธี หยุดงานสักหนึ่งวันพอให้ประชาชนไม่ลืมว่าวันนั้น ๆ เรียกว่า “วันชาติ”
วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันชาติจีน วันชาติจีนมีความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ทางการเมืองของชาติทั้งโดยตรงและอย่างแท้จริง กล่าวคือ หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (พคจ.) รบชนะพรรคก๊กมิ่นตั๋ง รวบอำนาจทั่วประเทศได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ในเดือนกันยายนปีนั้น พคจ. ก็ได้เปิดประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองสมัยที่ 1 ขึ้นเป็นครั้งแรก เชิญทุกพรรค ทุกฝ่ายที่เป็นแนวร่วมกับพคจ. (จีนมีพรรคและองค์กรมวลชนต่าง ๆ ที่เป็นแนวร่วมกับพคจ.อยู่จำนวนหนึ่ง) เข้าร่วมการประชุมด้วย ในครั้งนั้นที่ประชุมมีมติสำคัญ ๆ คือ 1) ให้ตั้งกรุงปักกิ่ง (เดิมชื่อเป่ยผิง) เป็นเมืองหลวงของประเทศ 2) ให้ใช้เพลงที่มีท่วงทำนองปลุกเร้าจิตใจที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยต่อต้านญี่ปุ่นให้ป็น “เพลงชาติ” (ทุกครั้งที่จีนจัดงานที่เป็นทางการ เช่น การประชุมสภาฯ จะเปิดเพลงนี้ทุกครั้ง ผู้นำทุกคนจะยืนขึ้นและร่วมร้องไปด้วยกัน) 3) กำหนดรูปแบบของ “ธงชาติ” ให้เป็นธงสีแดงประดับดาวสีทอง 5 ดวง ดวงโตที่อยู่มุมบนมีความหมายแทนพรรคฯ อีก 4 ดวงเล็กที่ล้อมรอบเป็นตัวแทนของชนชั้นทั้ง 4 อันได้แก่ กรรมกร ชาวนา นายทุนน้อย และนายทุนชาติ 4) ที่ประชุมได้เลือกตั้งคณะกรรมการรัฐบาลประชาชนกลางชุดแรกขึ้น โดยมีเหมาเจ๋อตงเป็นประธาน พร้อมด้วยกรรมการอีก 56 คน ใช้เวลาในการประชุมครั้งนี้รวม 10 วัน
รุ่งขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 1 ตุลาคม กรรมการทั้งหมดได้กลับเข้าที่ประชุมอีกครั้ง ครั้งนี้ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ รับหลักการสำคัญซึ่งจะใช้เป็นเข็มทิศชี้นำทางการปกครองประเทศต่อไป เรียกย่อ ๆ ว่า “หลักนโยบายร่วม” ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับรัฐธรรมนูญ เสร็จจากนั้นเวลาบ่าย 3 โมง ประธานเหมาฯก็ได้ปรากฏตัวบนจัตุรัสเทียนอันเหมิน อ่านประกาศการก่อตั้ง “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อการประกาศก่อตั้งประเทศเสร็จสิ้นลงมวลชนกว่า 3 แสนคนซึ่งได้ตระเตรียมไว้แล้ว ก็ออกมาร่ายรำทำเพลงเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก ตลอด 74 ปีตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้ 1 ตุลาคมก็ถือเป็นวันชาติของจีนอย่างเป็นทางการตลอดกาล
ช่วง 10 ปีแรกของการก่อตั้งประเทศ ทางการจัดงานวันชาติให้เป็นงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ มีการสวนสนามสำแดงพลังและสรรพาวุธของทุกเหล่าทัพ มองดูพรึ่บพรั่บน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง แต่ต่อมาในปี 1960 รัฐบาลจีนกลับมานั่งทบทวนความคิดใหม่อีกครั้ง แล้วมีความเห็นว่าการสวนสนามสำแดงกำลังอย่างยิ่งใหญ่ดังกล่าวเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ส่วนการเอากำลังพลไปฝึกความพร้อมเพรียงสำหรับเดินขบวนก็เป็นการกระทำที่เกินความจำเป็น ดังนั้นนับแต่ปี 1960-1970 การสวนสนามที่จัตุรัสเทียนอันเหมินก็ถูกยกเลิก รัฐบาลมีมติใหม่ให้การสวนสนามมีได้เพียงครั้งเดียวทุก ๆ 10 ปี แต่พิธีกรรมอื่น ๆ ที่ต้องทำเป็นประจำก็ยังคงทำต่อ เช่น การอัญเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาที่กลางจัตุรัสเทียนอันเมิน กองดุริยางค์ทหารบรรเลงเพลงชาติ จากนั้นผู้นำพรรคฯและรัฐบาลวางพวงหรีดคารวะจิตใจวีรชนแห่งชาติที่อนุสาวรีวีรชนซี่งตั้งอยู่กลางจัตุรัสเทียนอันเหมิน ตรงข้ามกับรูปวาดของประธานเหมาฯ สำหรับประชาชนทั่วไปแม้การเดินขบวนจะถูกตัดไม่ได้ไปร่วมเฉลิมฉลอง แต่ความสำคัญของวันชาติก็จะยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป เป็นวันหนึ่งที่ทุกคนรอคอย เพราะรัฐบาลได้กำหนดให้วันชาติเป็นวันหยุดใหญ่ประจำปี ประชาชนมีโอกาสไปพักผ่อนท่องเที่ยวเต็มที่ถึง 1 สัปดาห์
นี่คือเหตุผลที่ทำให้วันชาติจีนปีนี้ไม่มีการเฉลิมฉลองขนาดใหญ่ ไม่มีการเดินขบวนของเหล่าทัพ การสวนสนามของทหารพร้อมสรรพาวุธทันสมัยต่าง ๆ ต้องอดใจรอต่อไปอีก 6 ปีจึงจะได้เห็น
ก่อนจบ อยากแชร์ความรู้ใหม่เกี่ยวกัยภาพวาดของประธานเหมาที่ตั้งเด่นอยู่เหนือจัตุรัสเทียนอันเหมิน ภาพของท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลรูปนี้เป็นภาพวาดเสมือนจริงขนาด 6 x 4.6 เมตร น้ำหนัก 1.5 ตัน ทุกปีจะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนภาพใหม่มาแทนภาพเก่า เพื่อให้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของชาติดูดีมีสง่าราศรีตลอดไป
โดย รศ.วิภา อุตมฉันท์