เนื่องจากความสามารถในการพัฒนาตนเองมีขีดจำกัดผู้พิการจึงมักยากจนและลำบากที่สุดในกลุ่มคนที่ประสบปัญหาความทุกข์ยาก สำหรับกลุ่มผู้ยากลำบากพิเศษนี้ นายสี จิ้นผิงได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่และใส่ใจพวกเขาเป็นพิเศษ
ค่ำวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1991 ณ ย่านการค้าตงเจียโข่วเมืองฝูโจว ในงานเล็ก ๆ ที่จัดให้กับเฉิน จุนเอิน นักดนตรีตาบอดและมิตรสหายจากแวดวงสื่อและดนตรีของเขานั้น เพื่อนคนหนึ่งได้แจ้งข่าวว่า “สหายสี จิ้นผิง เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมือง(ฝูโจว)ไม่สามารถมาร่วมงานได้เนื่องจากติดภารกิจต่างประเทศ เลขาธิการสีรับรู้เรื่องราวของคุณกับพาน ลี่อิง คนรักของคุณแล้วพร้อมแสดงท่าทีว่า จะดำเนินการย้ายเธอมาทำงานที่เมืองฝูโจว โดยเขา(นายสี จิ้นผิง)จะปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างเต็มที่...”
เฉิน จุนเอิน เป็นชาวเมืองฝูโจว เขาตาบอดตั้งแต่อายุ 14 ปี ด้วยความช่วยเหลือและคำแนะนำจากผู้มีจิตเมตตา เขาได้เข้าสู่โลกแห่งดนตรี ต่อมาได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยฉางชุน กลายเป็นนักศึกษาตาบอดคนแรกของมณฑลฝูเจี้ยน ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาตกหลุมรักพาน ลี่อิง เพื่อนร่วมชั้นของเขา หลังสำเร็จการศึกษา เฉิน จุนเอินได้รับการบรรจุให้เป็นครูสอนวิชาดนตรีที่โรงเรียนคนตาบอดเมืองฝูโจว ขณะที่พาน ลี่อิงประกอบอาชีพเป็นครูโรงเรียนมัธยมที่หนึ่งของอำเภอหนงอาน เมืองฉางชุน มณฑลจี๋หลิน
เมืองฝูโจวกับฉางชุนอยู่ห่างกันเกือบ 3,000 กิโลเมตร เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 ทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกัน ทว่าต้องแยกกันอยู่คนละเมือง หากพาน ลี่อิงต้องการย้ายไปอยู่กับสามีที่เมืองฝูโจวต้องแก้ปัญหาสำมะโนครัวและการโอนย้ายตำแหน่งงานหน่วยงานภาครัฐ หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย พาน ลี่อิงยังได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ตงเป่ยและสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ในขณะที่เธอศึกษาลงลึกภาษาอังกฤษและการศึกษา เธอยังประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจในด้านวรรณคดีดนตรี ศิลปะการตัดกระดาษพื้นบ้าน การเขียน การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา ฯลฯ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้พิการอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นบุคลากรที่ฝูโจวต้องการด่วนในเวลานั้น
คำบรรยายภาพ : นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯประจำมณฑลฝูเจี้ยนและเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯประจำเมืองฝูโจว ได้ร่วมปฏิบัติงานกับแรงงานในโครงการเสริมเขื่อนป้องกันน้ำท่วมบริเวณตอนล่างของแม่น้ำหมิ่นเจียงในอำเภอหมิ่นโฮ่ว เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 (ภาพจากสำนักข่าวซินหัว)
ภายใต้การเอาใจใส่ของนายสี จิ้นผิง ฝ่ายบุคลากรเทศบาลเมืองฝูโจวได้ส่งจดหมายขอให้โยกย้ายพาน ลี่อิงไปปฏิบัติงานที่เมืองฉางชุน หลังจากได้รับจดหมายอนุมัติจากฉางชุนแล้ว คณะกรรมการการศึกษาของเทศบาลเมืองฝูโจวก็ได้แสดงว่ายินดีรับพาน ลี่อิงเข้าทำงานและจะพยายามให้เธอได้สอนในโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านของพวกเขามากที่สุด
หนึ่งปีต่อมา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1992 คอนเสิร์ตแสดงผลงานของเฉิน จุนเอิน จัดขึ้นที่อาคารหวาเฉียวฝูโจว จดหมายแสดงความยินดีจากนายสี จิ้นผิง เลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯประจำเมือง ติดประกาศไว้อย่างเด่นชัดที่หน้าคอนเสิร์ตฮอลล์บนชั้นสอง
มีคนมากมายปรากฏตัวโดยไม่ได้รับเชิญ มีผู้ฟังมากกว่า 600 คนอัดแน่นอยู่ในห้องโถงขนาด 400 ที่นั่ง พวกเขาเข้าใจถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละของชายหนุ่มรูปร่างผอมบางผู้นี้ผ่านโน้ตที่เต้นเป็นจังหวะ
ข้างๆเวทีแสดง พาน ลีอิงซึ่งได้ย้ายมาทำงานที่ฝูโจว นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถงกับครอบครัว เธอจ้องมองเฉิน จุนเอินซึ่งอยู่บนเวที และนึกถึงอดีตด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ผมทำได้แค่ขอบคุณ ขอบคุณอย่างสุดซึ้ง และขอบคุณผู้มีบุญคุณกับผม ผมทำได้เพียงใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเพื่อตอบแทนพรรค รัฐบาล สังคม ครูบาอาจารย์และญาติที่ได้ทุ่มเทความพยายามเพื่อการเติบโตของผม!”เฉิน จุนเอินกล่าว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉิน จุนเอินยืนหยัดที่จะช่วยเหลือผู้พิการ สอนดนตรี ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตแก่ผู้อื่น เขาได้สรุป “วิธีเคาะตบหลายนิ้ว ” ได้ประคับประคองเด็กตาบอดรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้เดินบนหาทางที่มีอนาคตอันสดใส เขาไม่เคยเปลี่ยนคติประจำใจที่ว่า “ขจัดความมืดด้วยความรัก กระจายแสงสว่างด้วยความรู้”
ในการประชุมเกี่ยวกับงานผู้พิการหลายครั้ง นายสี จิ้นผิง คณะกรรมการพรรคฯและเมืองฝูโจว ได้ออกมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นหลังผ่านการศึกษาวิจัย ตัวอย่างเช่น นโยบายส่งเสริมให้วิสาหกิจรับผู้พิการเข้าทำงาน การบูรณาการแก้ปัญหาการรักษาต้อกระจก การให้เงินอุดหนุนด้านขาเทียมสำหรับผู้พิการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพสำหรับคนหูหนวกเป็นใบ้ ฯลฯ
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1992 มีการจัดประชุมว่าด้วยผู้พิการเมืองฝูโจว นายสี จิ้นผิงชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต้องเข้าใจความสำคัญของงานคนพิการจากมุมมองของอารยธรรมและความก้าวหน้าของสังคม เขาเน้นย้ำว่า “สำหรับเมืองของเรา เรากำลังดำเนินโครงการ “3820” การที่เราจะสามารถประกันให้ผู้พิการทั้งหมด 240,000 คนในเมืองบรรลุมาตรฐานการครองชีพในระดับพอกินพอใช้พร้อมกับคนทั่วไปได้หรือไม่นั้น จะส่งผลโดยตรงต่อการบรรลุยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของเมืองเรา”
IN/LU