ในช่วงต้นศตวรรษใหม่ “โต๊ะอาหาร”ของชาวมณฑลฝูเจี้ยนกำลังเผชิญกับปัญหาใหม่เช่นเดียวกับประชาชนทั่วประเทศ คือ หลังจากการปรับปรุงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การปฏิรูปและเปิดประเทศ แม้ว่าจะไม่ต้องห่วงใยเรื่องปริมาณอาหารแล้วก็ตาม แต่ก็มีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของอาหารดำรงอยู่ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2000 เมืองฝูโจวได้สุ่มตัวอย่างตรวจ ได้ผลเป็นที่น่าตกใจ เพราะอัตราการตรวจพบสารเร่งเนื้อแดงตามโรงฆ่าสัตว์นั้นสูงถึง 76%
เที่ยงวันหนึ่งในช่วงครึ่งแรกของปีค.ศ.2001 ณ โรงอาหารของศาลากลางมณฑลฝูเจี้ยนได้เกิดเหตุการณ์ดังต่อไป
“เนื้อสัตว์เหล่านี้มีสารเร่งเนื้อแดงไหม?” รองผู้ว่าการมณฑลคนหนึ่งถามกึ่งติดตลกขณะเข้าคิวเพื่อสั่งอาหาร
“คงไม่มีมั๊ง!” รองผู้ว่าการอีกคนตอบ
บทสนทนาที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจนี้ทำให้นายสี จิ้นผิงฉุกคิด นายสี จิ้นผิง กล่าวทันทีว่า “แม้จะเป็นโรงอาหารของเรา หากยังต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องสารเร่งเนื้อแดง จะเห็นได้ว่าชาวบ้านทั่วไปย่อมยิ่งไม่อาจวางใจในความปลอดภัยของอาหารได้อย่างแน่นอน เราจำเป็นต้องจัดการอย่างจริงจังกับเรื่องสารเร่งเนื้อแดงให้ได้”
ช่วงเที่ยงของวันนั้น โรงอาหารในศาลากลางมณฑลได้กลายเป็นสถานที่จัดการประชุมของบรรดาผู้นำเพื่อหารือเกี่ยวกับการบริหารจัดการเรื่องสารเร่งเนื้อแดง โดยพวกเขาถือชามข้าวรวมตัวรอบโต๊ะคีบอาหารด้วยตะเกียบพร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปด้วย การสำรวจข้อมูลเพื่อประกอบการวิจัยในโรงอาหารซึ่งถือเป็นปฏิบัติการพิเศษครั้งนี้ของนายสี จิ้นผิง นำไปสู่การเริ่มดำเนินการตรวจสอบสารเร่งเนื้อแดงอย่างเข้มงวดและครอบคลุมเป็นการเฉพาะ เป็นอันว่า “ยุทธการเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน”ได้เริ่มขึ้น
อันที่จริง ยุทธการครั้งนี้ได้เตรียมการล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว
คำบรรยายภาพ : นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน เดินทางไปยังเมืองทังชวน อำเภอโหยวซี เพื่อสำรวจข้อเท็จจริงของพื้นที่เมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2001 (ภาพโดยหนังสือพิมพ์ฝูเจี้ยนเดลี่)
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 สำนักข่าวซินหัวได้เผยแพร่รายงานข่าวเกี่ยวกับ “มลพิษบนโต๊ะอาหาร”ที่เกิดขึ้นในมณฑลอื่นติดต่อกัน 2 ชิ้น หลังจากอ่านแล้ว นายสี จิ้นผิงออกคำแนะนำทันทีว่า “มลพิษบนโต๊ะอาหาร”เป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรของมณฑลเราจะสามารถขยายตลาดในประเทศและต่างประเทศและเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ เราควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับเรื่องนี้”
ย้อนอดีตอีกเล็กน้อย ระหว่างการประชุม “สองสภา”ในปีนั้น จิน เถี่ยผิง กรรมการสภาปรึกษาการเมืองแห่งประชาชนมณฑลฝูเจี้ยนได้ยื่นญัตติในหัวข้อ “เสริมสร้างการกำกับ การตรวจสอบ และการตรวจตราด้านสุขอนามัยอาหาร” ซึ่งก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากนายสี จิ้นผิงเช่นกัน
“ในเวลานั้น เขา(หมายถึงนายสี จิ้นผิง)ก็ได้ขอให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลออกมาตรการแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมติของสภาปรึกษาการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมได้” จิน เถี่ยผิง กล่าว
ตอนนั้น สารตกค้างที่เป็นอันตรายในผลผลิตการเกษตรและอาหารที่ไม่ใช่อาหารหลักเกินมาตรฐานค่อนข้างมาก การที่ยาปฏิชีวนะหรือสารเจือปนอาหารที่ต้องห้ามถูกใช้อย่างไม่เหมาะสมในกระบวนการเลี้ยงสัตว์และการแปรรูปอาหาร และความล้าหลังของกระบวนการแปรรูป การขนส่ง การเก็บรักษา เป็นต้น ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนในอาหารตามมา --- แต่หากพูดถึง “ศัตรูสาธารณะ”ที่ร้ายแรงที่สุดบนโต๊ะอาหารของชาวบ้านในเวลานั้นก็ยังคงเป็นสารเร่งเนื้อแดง
“ทำไมแปดหน่วยงานถึงบริหารจัดการหมูตัวหนึ่งด้วยดีไม่ได้” นายสี จิ้นผิง เคยถามเช่นนี้ในที่ประชุม เขาเห็นว่าปัญหาอยู่ที่กลไกและระบบ
นายสี จิ้นผิงได้ให้คำแนะนำอย่างเป็นระบบและองค์รวมว่า การผลิตทางการเกษตรต้องส่งเสริมมาตรฐานอาหารสีเขียว เสริมสร้างการป้องกันและควบคุมศัตรูพืชทางชีวภาพ หลีกเลี่ยงการใช้ยาสัตว์และสารปรุงแต่งอาหารสัตว์ต่างๆ มุ่งมั่นที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ผลิตขึ้นล้วนปราศจากสารพิษตกค้างและไม่เป็นพิษเป็นภัย หน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องเสริมสร้างมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้ “ของเสียสามอย่าง”ทางอุตสาหกรรม(ของเสียสามอย่างทางอุตสาหกรรมหมายถึงก๊าซเสีย น้ำเสีย และกากของเสียที่ปล่อยออกมาในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม)สร้างมลภาวะต่อสินค้าเกษตร หน่วยงานกำกับดูแลด้านสุขอนามัยและหน่วยงานบริหารจัดการอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมต้องควบคุมการเข้าตลาดของสินค้าให้ดี ส่งเสริมการตรวจสอบสินค้าเกษตรที่เข้าสู่ตลาด ต้องป้องกันไม่ให้สินค้าเกษตรที่ปนเปื้อนเข้าสู่ตลาดอย่างเด็ดขาด สำหรับสินค้าเกษตรที่ปนเปื้อนแต่ถูกเข้าสู่ตลาดควรลงโทษผู้จำหน่ายตามกฎหมาย หน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและหน่วยงานตรวจสอบโรคต้องสร้างมาตรฐานการตรวจสอบตามหลักวิทยาศาสตร์โดยเร็วที่สุดและปรับปรุงเทคโนโลยีการตรวจสอบให้สมบูรณ์
ไม่นานมณฑลฝูเจี้ยนได้จัดตั้งกลไกการประชุมร่วมที่ประกอบด้วยหน่วยงาน 23 หน่วยงานเพื่อควบคุม “มลพิษบนโต๊ะอาหาร”และสร้างสรรค์ “โครงการอาหารปลอดภัย” เมื่อปี ค.ศ. 2005 กลไกนี้แทนที่ด้วยคณะกรรมการความปลอดภัยของอาหารมณฑลฝูเจี้ยน
เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2001 ในการประชุมการดำเนินงานของทั้งมณฑลเรื่องการบริหารจัดการ “มลพิษบนโต๊ะอาหาร” และการสร้างสรรค์ “โครงการอาหารปลอดภัย”นั้น นายสี จิ้นผิง ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะกำจัด “มลพิษบนโต๊ะอาหาร”ในขั้นพื้นฐานใน 23 เมืองของมณฑลภายใน 3 ปี และกำจัด “มลพิษโต๊ะอาหาร”ในขั้นพื้นฐานทั้งมณฑลภายในเวลา 5 ปี
“ในเวลานั้น มันไม่ง่ายเลยที่จะยกระดับการบริหารจัดการ “มลพิษบนโต๊ะอาหาร” ให้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้ ทั้งยังได้เสนอแนวทางและกลไกการบริหารจัดการอย่างชัดเจน” จง อันผิง อดีตรองประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจและการค้า และผู้อำนวยการสำนักงานความปลอดภัยของอาหารมณฑลฝูเจี้ยน เป็นผู้มีส่วนร่วมในยุทธการครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เขากล่าวว่าการกำกับดูแลแบบบูรณาการต้องมุ่งเน้นไปที่การจัดระบบ ความเป็นองค์รวม และการประสานงาน และจำเป็นต้องมีกลไกการประสานงานและการกำกับดูแลที่ครอบคลุมและสมบูรณ์แบบเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว
IN/LU