แมคโดนัลด์ได้ประกาศว่า ตัดสินใจซื้อหุ้น 28 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทไพรเวทอิควิตี้คาร์ไลล์ (Carlyle)ในธุรกิจในจีน ที่ถูกขายโดยเครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งนี้เมื่อปี 2017 กลับคืนมา
การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นธุรกิจในจีนของแมคโดนัลด์เพิ่มขึ้นเป็น 48 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติในตลาดบริโภคจีน
นอกจากนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นว่า คำวิเคราะห์ของสื่อบางสำนักที่ว่า ตลาดจีนกำลังตกต่ำ ทุนต่างประเทศกำลังไหลออกจากจีนนั้นไม่เป็นความจริง
ปัจจุบัน จีนเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของแมคโดนัลด์ โดยมีร้านทั้งหมด 5,500 แห่ง ในขณะที่เครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดแห่งนี้วางแผนจะให้มีสาขามากกว่า 10,000 แห่งในจีนภายในปี 2028
นาย Chris Kempczinski ประธานและซีอีโอ แมคโดนัลด์ กล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า เขาเชื่อว่า ไม่มีเวลาใดที่จะดีไปกว่านี้ในการปรับโครงสร้างให้ง่ายขึ้น ปัจจุบัน แมคโดนัลด์ได้รับโอกาสมหาศาลในการดึงดูดความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคชาวจีน และได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากศักยภาพในระยะยาวของตลาดจีนที่เติบโตเร็วที่สุด
เบื้องหลังความทะเยอทะยานของ แมคโดนัลด์ คือ เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างยั่งยื่น และตลาดบริโภคจีนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังโควิด
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนแสดงให้เห็นว่า รายได้ของธุรกิจร้านอาหารในจีนในช่วง 10 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 18.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นเงิน 4.19 ล้านล้านหยวน (588,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เศรษฐกิจจีนในช่วงสามไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตร้อยละ 5.4 ตลอดทั้งปี ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนหลังโควิด
ตามข้อมูลของบริษัทแมคโดนัลด์ การเปิดสาขาแห่งใหม่ในจีนได้เพิ่มขึ้นจากปีละประมาณ 250 แห่งในปี 2017 มาเป็นปีละประมาณ 500 แห่งในปี 2022 ด้วยแรงหนุนจากวิธีการที่เข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่ เช่น การพัฒนาแอป Wechat และการส่งเสริมการขายบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ธุรกิจของแมคโดนัลด์ในจีนได้บรรลุการเติบโตของยอดขายทั่วทั้งระบบมากกว่าร้อยละ 30 นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2019
นโยบายการเปิดกว้างที่มีมาตรฐานสูงของจีนช่วยเพิ่มความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อตลาดจีน
บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่งต่างใช้โอกาสที่เกิดจากตลาดบริโภคขนาดใหญ่ของจีนอย่างแข็งขัน เช่น บริษัท Swire Coca-Cola Ltd. เริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ด้วยการลงทุนมูลค่า 2,000 ล้านหยวนในเมืองซูโจวในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และกล่าวว่า จะลงทุนมากกว่า 12,000 ล้านหยวนในจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วง 10 ปีข้างหน้า บริษัท IKEA กล่าวเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า จะลงทุน 6,300 ล้านหยวนในตลาดจีนภายใน 3 ปีข้างหน้า ขณะที่บริษัท Tesla ประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่แห่งใหม่ในนครเซี่ยงไฮ้สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์กักเก็บพลังงาน
กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ มีการจัดตั้งบริษัททุนต่างชาติแห่งใหม่จำนวน 41,947 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.1 เมื่อเทียบเป็นรายปี
ทางการจีนให้คำมั่นว่า จะผ่อนคลายเกณฑ์การเข้าสู่ตลาดต่อไป และสร้างสภาพแวดล้อมการแข่งขันทางธุรกิจที่เท่าเทียมกันสำหรับนักลงทุนต่างชาติด้วยมาตรการต่างๆ เช่น การยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิต
การเคลื่อนไหวของบริษัทข้ามชาติดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เรียกว่า การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Decoupling) กับจีน หรือ การใช้กลยุทธ์ ‘ลดความเสี่ยง’ (de-risking) จากจีนนั้นไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
(ying/cai)