ตามสถานการณ์ทรัพยากรที่ดิน การวางผังเมืองโดยรวม และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายการพัฒนา การปรับปรุงเมืองเก่าของฝูโจวจึงแบ่งออกเป็นสามประเภท การปรับปรุงชุมชนบ้านกระท่อมนั้นเน้นสนับสนุนให้หน่วยงานและสหกรณ์ช่วยกันระดมทุนเพื่อการก่อสร้าง โดยภาครัฐให้การสนับสนุนในหลายด้าน
เงินทุนภาครัฐที่แม้มีจำกัดได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการปรับปรุงย่านชุมชนบ้านกระท่อม
แผนกการเงินของเมืองฝูโจวได้สำรองจ่ายล่วงหน้าไปบางส่วนก่อน ควบคู่ไปกับการดำเนินการปรับปรุงเมืองเก่า ภายหลังอาคารสูงเข้ามาแทนที่บ้านชั้นเดียว แปลงที่ดินที่ผ่านการรื้อถอนแล้วก็กลายมาเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ วิสาหกิจภาคเอกชนก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการปรับปรุงเมืองเก่า ธนาคารก็ยินดีให้สินเชื่อด้วย
หลังจากพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจดีได้รับการพัฒนาโดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นลำดับแรกๆแล้ว กลุ่มชุมชนบ้านกระท่อมที่แออัดอยู่ใกล้กับย่านธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นพื้นที่คุณภาพต่ำจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน จากการสำรวจเมื่อปี 1993 พบว่าเมืองฝูโจวยังมีพื้นที่ที่เป็นบ้านกระท่อมไม้มากถึง 4.4 ล้านตารางเมตร
เราจะปล่อยให้ชาวเมืองของเราเข้าสู่ศตวรรษที่ 21โดยยังคงใช้ถังไม้แทนห้องน้ำไม่ได้!
วันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ.1993 นายสี จิ้นผิง ได้ให้คำแนะนำต่อแผนการดำเนินงานเบื้องต้นสำหรับการปรับปรุงบ้านกระท่อมไม้ที่อยู่ติดกันเป็นบริเวณกว้างซึ่งร่างขึ้นโดยสำนักงานกำกับอสังหาริมทรัพย์เมืองฝูโจวโดยเขียนว่า “ควรดำเนินการปรับปรุงอย่างจริงจังและควรให้การสนับสนุนด้านนโยบาย ในระหว่างการปรับปรุงนั้นควรให้ความสำคัญให้เป็นไปตามแผนเพื่อหลีกเลี่ยงการปรับปรุงซ้ำสอง ”
ตามแผนการดำเนินการปรับปรุงบ้านกระท่อมไม้ได้บรรจุไว้ในวาระการพิจารณาของผู้นำทุกระดับ โดยบ้านกระท่อมไม้ที่เข้าข่าย “สองสูงหนึ่งต่ำ” อันได้แก่ มีความยุ่งยากสูงในการปรับปรุงและผู้อยู่อาศัยมีความต้องการสูงในการก่อสร้างใหม่ แต่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่ำ ได้กลายเป็นจุดเน้นของการปรับปรุงครั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ที่เสนอโดยคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเมืองฝูโจว ซึ่งก็คือ กำจัดพื้นที่บ้านกระท่อมไม้ที่อยู่ติดกันเป็นบริเวณกว้างภายในเวลาสามถึงห้าปี
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.1995 หนังสือพิมพ์ฝูเจี้ยนเดลี่ได้เผยแพร่รายงานพิเศษหัวข้อ “ชาวเมืองฝูโจว 400,000 คนย้ายเข้าบ้านใหม่” ซึ่งกล่าวถึงชุดข้อมูลที่น่าตื่นเต้นว่า เมืองฝูโจวได้ปรับปรุงชุมชนบ้านกระท่อมไม้ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมากกว่า 400 แห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้สร้างอาคารที่อยู่อาศัยใหม่ประเภทต่างๆ มากกว่า 8 ล้านตารางเมตร สร้างชุมชนที่อยู่อาศัยนับหมื่นคนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน 12 แห่ง และหมู่บ้านใหม่ขนาดกลางอีกกว่า 20 แห่ง ทำให้ชาวเมืองฝูโจวประมาณ 400,000 คนได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ ทำให้พื้นที่ใช้สอยต่อหัวของบ้านในเขตเมืองเพิ่มถึง 8.3 ตารางเมตร
แพทย์แผนจีนผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้สูงวัยที่เคยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในชุมชนบ้านกระท่อมได้ติดกลอนคู่ในห้องรับแขกหลังจากย้ายเข้าบ้านใหม่ว่า “ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุดแต่ผมพอแล้ว ยุคสมัยอันเจริญรุ่งเรืองยากที่จะพบแต่ผมพบแล้ว”
คำบรรยายภาพ : นายสี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยน เดินทางไปยังตำบลเฉิงเจียว อำเภอหย่งติ้งเพื่อให้แนวทางการทำงานบรรเทาความยากจนเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1996 (ภาพจากหนังสือพิมพ์ฝูเจี้ยนเดลี่)
หลังนายสี จิ้นผิง ย้ายจากเมืองฝูโจวไปทำงานที่มณฑลฝูเจี้ยนเมื่อปี 1996 ยังคงใส่ใจบรรดาชาวบ้านในกระท่อมไม้ เนื่องจากในอดีตขาดการพัฒนามาเป็นเวลานาน ประชาชนบางส่วนในเมืองฝูโจวจึงยังคงอาศัยอยู่ในชุมชนบ้านกระท่อม
วันที่ 2 กรกฎาคม ปี ค.ศ.2000 เวลาบ่ายสองที่แสงแดดแผดจ้า มีรถยนต์สองสามคันค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ถนนเซี่ยหาง เขตไถเจียง เมืองฝูโจว
นายสี จิ้นผิง ผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนในขณะนั้นได้นำคณะมาตรวจเยี่ยมชุมชนบ้านกระท่อมในหลายย่าน เช่น ย่านถนนซ่างตู ปังโจว อี้โจว เป็นต้น จากนั้นจึงไปที่ย่านถนนชางเสีย ซึ่งอยู่ใกล้กับย่านใจกลางเมืองที่พลุกพล่าน
ชางเสียตั้งอยู่ในพื้นที่เจียงปินซึ่งอยู่ริมแม่น้ำทางตอนใต้ของเขตไถเจียง มีชื่อเสียงในด้านการค้าสินค้าที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถึงช่วงสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น ชางเสีย ซึ่งเป็นฐานการปฏิวัติที่สำคัญได้รับส่งข่าวกรองเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ควบคู่ไปกับการขนส่งทางบกที่เฟื่ยงฟูขึ้น จำนวนเรือในแม่น้ำหมิ่นเจียงก็เริ่มลดลง ย่านถนนชางเสียซึ่งมีอายุนับศตวรรษก็ได้ค่อยๆ กลายเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบภายหลังความคึกคักจางหาย
มองไปข้างหน้าตามคณะของนายสี จิ้นผิง เมืองเอกมณฑลไม่เหลือร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เห็นเพียงชุมชนบ้านกระท่อมที่ทรุดโทรม
เลขที่ 27 ถนนเจิ้งอี้ เป็นบ้านไม้สองชั้น บ้านหลังนี้มีอายุมากและขาดการบูรณะซ่อมแซมมาเป็นเวลานานจนแผ่นไม้กระดานเก่าเอียง บ้านทั้งหลังมีพื้นที่ 130 กว่าตารางเมตร แต่มีผู้อยู่อาศัยอย่างแออัดมากถึง 7 ครอบครัวรวม 27 คน
นายถัง ชิ่งวั่ง ชาวชุมชนที่นี่กำลังช่วยเชือดเป็ดในลานกลางแจ้งของบ้านหลังนี้ให้กับครอบครัวอื่น เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา มีคนข้างๆบอกเขาว่าผู้ว่าการมณฑลมาถึงที่นี่ “ท่านผู้ว่าการมณฑลทักทายผมอย่างยิ้มแย้ม ท่านยังขอให้ผมพาเข้าไปชมภายในบ้านด้วย” นายถัง เล่าย้อนหลังให้ฟังเพิ่มเติมว่า “เดิมทีท่านผู้ว่าการมณฑลคิดจะปีนขึ้นไปดูชั้นลอยใต้หลังคาบ้านด้วย แต่ท่านตัวสูงใหญ่ซึ่งยากที่จะปีนขึ้นไปได้ จึงพูดคุยกับผมใต้บันไดแทน”
ในห้องไม้ที่มีลักษณะเสมือนหม้อนึ่งที่ร้อนอบอ้าว นายสี จิ้นผิง ได้สอบถามเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวคุณลุงถังอย่างละเอียด
นายถัง ชิ่งวั่งเป็นลูกหลานของผู้อาศัยอยู่บนเรือ บรรพบุรุษของเขาใช้ชีวิตเร่ร่อนแบบ “เหนือศีรษะไร้กระเบื้องมุงหลังคา ใต้เท้าไร้พื้นดินให้เหยียบ”มาโดยตลอด ตอนที่เขาเกิดครอบครัวสามารถเช่าบ้านได้และได้ย้ายจากเรือมาอยู่อาศัยอยู่ที่บ้านบนชายฝั่งในที่สุด
ในบ้านที่มีพื้นที่น้อยกว่าเก้าตารางเมตร คุณลุงถังได้เสร็จสิ้นเรื่องใหญ่ในชีวิตอันได้แก่การแต่งงานและการมีลูก “ความต้องการของเราไม่สูง รุ่นเราก็แล้วกันไป แต่จะปล่อยให้คนรุ่นต่อไปอยู่อาศัยแบบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด”
ความเป็นกันเองและไม่ถือตัวของผู้ว่าการมณฑลทำให้คุณลุงถังได้เผยความในใจ..หวังว่าจะได้ย้ายบ้านโดยเร็วที่สุดและใช้จ่ายเงินน้อยหน่อย
นายสี จิ้นผิงพยักหน้าหลายครั้งเพื่อบ่งบอกถึงความเข้าใจ
ทุกคนต่างเหงื่อท่วมแม้เพิ่งเข้ามาอยู่ในห้องได้ไม่นาน นายสี จิ้นผิง กล่าวว่า “เรามาเยี่ยมในช่วงเวลาตอนเที่ยงซึ่งร้อนที่สุด ทำให้เราสามารถเข้าใจความยากลำบากและความทุกข์ทรมานของประชาชนในชุมชนบ้านกระท่อมได้อย่างแท้จริง”
IN/LU