โดย รศ.วิภา อุตมฉันท์
คำว่า “ซอฟท์เพาเวอร์” (soft power) เป็นศัพท์ใหม่ ฮิตขึ้นมาเมื่อไม่กี่ทศวรรษนี่เอง เพื่อให้เห็นต่างจาก “ฮาร์ดเพาเวอร์” (hard power) ซึ่งหมายถึงการส่งออกทหารและอาวุธไประรานประเทศอื่น มีคนพยายามแปลซอฟท์เพาเวอร์เป็นไทยว่า “อำนาจละมุน” แต่ก็ไม่ติดตลาด สุดท้ายถือเป็นความเข้าใจร่วมกันว่า ซอฟท์เพาเวอร์หรืออำนาจลมุลหมายถึง “วัฒนธรรม” ซึ่งเป็นอำนาจที่ได้มาโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง ทุกวันนี้ประเทศต่าง ๆ กำลังแข่งกันส่งออกซอฟท์เพาเวอร์ของตนที่คิดว่าโดดเด่น แปลกหูแปลกตา สวย ๆ งาม ๆ น่าอยู่ น่ากิน น่าไปท่องเที่ยว ฯลฯ ออกไปอวดชาวโลก ด้วยหวังว่านอกจากจะสร้างชื่อให้กับประเทศแล้ว อำนาจที่แท้จริงในการส่งออกซอฟท์เพาเวอร์ จะเป็นแรงดึงดูดเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศมากกว่า
ยกตัวอย่างรัฐบาลไทยชุดนายเศรษฐาฯ ขึ้นมาได้ไม่กี่เดือนสิ่งที่ทำเป็นจริงเป็นจังก็คือการตั้ง “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟท์เพาเวอร์แห่งชาติ”ขึ้น มีนายกฯนั่งหัวโต๊ะ อุ๊งอิ๊งนั่งติดกันในฐานะรองประธาน คณะกรรมการชุดนี้ต้องการจะเห็นซอฟท์พาเวอร์ที่ไทยเรามีความโดดเด่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สามารถส่งออกเป็น “ทูตทางวัฒนธรรม” ให้นานาประเทศรู้จัก จนได้ชื่อว่าเป็นผู้นำวัฒนธรรมระดับโลก
การกินข้าวเหนียวมะม่วงของแร้ปเปอร์สาว “มิลลี่” บนเวทีระดับโลก การได้ครองมงกุฎอันดับ 2 ของสาวไทยในการประกวดมิสยูนิเวอร์สเมื่อเร็ว ๆ นี้ แม้กระทั่ง “หมูกระทะ” ที่คุณอุ๊งอิ๊งยกตัวอย่างขึ้นมาให้เป็นซอฟท์เพาเวอร์อย่างหนึ่งของไทยก็ดี อาจสรุปได้ว่า อะไรก็ตามที่คนไทยคิดขึ้น มีความแปลกใหม่ ก็ให้ถือเป็น”วัฒนธรรมไทยที่ควรหาทางส่งออก” ให้คนชาติอื่นรู้จัก เพื่อชื่อเสียงของไทยและนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทย
ผู้เขียนในฐานะชาวบ้านธรรมดา ๆ อยากจะบอกว่า จนป่านนี้ยังรู้สึกมึน ๆ งง ๆ มองไม่ค่อยเห็นหน้าตาของการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมแปลกใหม่และโดดเด่นแบบไทย ๆ อย่างที่กล่าวมานี้เลย มองเห็นแต่ความคิดแปลก ๆ ของเหล่าดารานักแสดงและบรรดาเซเลปทั้งหลาย ซึ่งถือโอกาสรวมสิ่งที่ตนคิดสร้างขึ้นให้เป็นส่วนหนึ่งของ “วัฒนธรรมไทย” ขณะเดียวกันก็ยังมองไม่ออกว่ารัฐบาลไทยจะเน้นสิ่งเหล่านี้และอาศัยสิ่งเหล่านี้ไปแปลงเป็นสินค้าส่งออกที่มีผลยั่งยืนต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยได้อย่างไร
คราวนี้เรามาดูซอฟท์เพาเวอร์ในอีกแง่หนึ่งซึ่งเป็นแบบจีนกันบ้าง อันที่จริงจีนใช้คำว่าซอฟท์เพาเวอร์น้อยมาก ๆ แต่ใช้คำว่า “วัฒนธรรม” แทน จีนก็เช่นกันได้ยกระดับความสำคัญเรื่องวัฒนธรรมขึ้นมาอย่างเด่นชัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปกติจีนจะจัดประชุมสรุปงานการโฆษณางานด้านความคิดเป็นประจำ แต่ในการประชุมเมื่อวันที่ 7-8 ตุลาคมที่ผ่านมานี้ ได้มีการเติมคำว่า “วัฒนธรรม” ให้กับหัวข้อการประชุม เป็น “การประชุมสรุปงานด้านการโฆษณาความคิดทางวัฒนธรรม ผลการประชุมครั้งนี้จึงเป็นสิ่งสะท้อนแนวคิดด้านวัฒนธรรมของสีจิ้นผิงโดยตรง
นับตั้งแต่สมัชชาพรรคฯครั้งที่ 18 (2012) เป็นต้นมา สีจิ้นผิงได้พูดถึงการยกฐานะความคิดทางวัฒนธรรมของจีนให้สูงเด่นอยู่เสมอ อีกทั้งได้ให้คำชี้แนะเกี่ยวกับแผนการทำงานในแต่ละด้านอย่างใกล้ชิด สีฯเน้นอยู่เสมอว่า ประเพณีวัฒนธรรมของจีนซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 5,000 ปีมีความอุดมสมบูรณ์มาก พร้อมที่จะให้นำไปใช้เป็นพื้นฐานรองรับและต่อยอดการสร้างสังคมนิยมแบบจีนที่เจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
แต่ก่อนอื่นพรรคฯ มีหน้าที่ต้อง “สร้างความเชื่อมั่น 4 ประการ” ให้กับประชาชน ได้แก่.. เชื่อมั่นต่อหนทางสังคมนิยม เชื่อมั่นต่อแนวทางทฤษฎีที่จีนยึดถือ เชื่อมั่นต่อระบบการบริหารงานของพรรคฯและรัฐ เชื่อมั่นต่อวัฒนธรรมอันดีงามของประชาชาติจีน”
สีฯชี้ว่าในรอบร้อยปีมานี้โลกเดินมาถึงจุดที่การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ภารกิจของจีนคือต้อง ชูธงให้สูงเด่นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน บ่มเพาะคนรุ่นใหม่ สร้างวัฒนธรรมใหม่ ๆ อารยธรรมใหม่ ๆ ให้กับสังคมจีน การสร้างอารยธรรมใหม่ ๆ จะต้องยึดหลักการ “2 ประสาน” คือ ประสานลัทธิมาร์กซ์ให้เข้ากับสภาพที่เป็นจริงของจีน ประสานบทเรียนที่ได้ใหม่ให้เข้ากับประเพณีวัฒนธรรมเก่า สีฯเน้นว่า “วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนเป็นรากฐานให้กับทฤษฎี หากไม่มีอารยธรรม 5000 ปีก็จะไม่มีจีนยุคใหม่ที่มีลักษณะพิเศษของตัวเองอย่างที่เป็นอยู่”
การรวมศูนย์สร้างวัฒนธรรมใหม่ ก็คือการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ใหม่ที่จะกลับมาผลักดันความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมที่มีอยู่ก่อนให้ก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้จีนเป็นประเทศที่เข้มแข็งทางวัฒนธรรม เสริมอารยธรรมใหม่ ๆ ให้กับจีนยุคใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ
นอกจากมุ่งมั่นต่อการสร้างอารยธรรมและวัฒนธรรมใหม่ๆ ให้กับประเทศแล้ว สีฯยังให้ความสำคัญกับการนำผลที่ได้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสากล จีนจะต้องลงแรงเผยแพร่วัฒนธรรมที่ดีงามสู่สากล กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนและศึกษาอารยธรรมใหม่ ๆ ของแต่ละประเทศอย่างจริงจังด้วย