เพียงสามวันก่อนที่คณะผู้เชี่ยวชาญจะเสร็จสิ้นการพิจารณารับรองและมีการออกรายงานการรับรองอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ.1999 พายุไต้ฝุ่นหมายเลข 14 ได้พัดกระหน่ำผู่เถียนทั้งเมือง
เพียงชั่วข้ามคืนได้เกิดน้ำท่วมเป็นวงกว้างสองฝั่งลำธารมู่หลาน ผู่เถียนทั้งเมืองมีบ้านเรือนเกือบ 60,000 หลังพังทลาย และมีพื้นที่เพาะปลูก 45,000 โหม่ว(18,750 ไร่ )ถูกน้ำท่วม
หมู่บ้านผูป่าน ตำบลซินตู้ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ราบต่ำ กลายเป็นพื้นที่ที่ประสบภัยหนักที่สุด ระดับน้ำท่วมสูงเป็นประวัติการณ์โดยสูงกว่าสถิติที่ทำไว้ก่อนหน้ากว่า 1 เมตร พนังกั้นน้ำที่ถมขึ้นด้วยดินนั้นแตกทันทีเมื่อถูก
มวลน้ำขนาดใหญ่ซัด น้ำท่วมได้ไม่นานบ้านดินก็พังทลายหมด โดยหมู่บ้านผูป่านมีบ้านเรือนที่พังทลายหรือกลายเป็นบ้านอันตรายรวม 2,298 หลัง ทำให้ประชาชน 822 คนไร้ที่อยู่อาศัย สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยตรงถึง 29.57 ล้านหยวน
วันที่ 17 ตุลาคม นายสี จิ้นผิง ได้เดินทางมาที่นี่เพื่อสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติ
หลังน้ำท่วมลดลงหมู่บ้านได้รับความเสียหายอย่างน่าสะเทือนใจ เซี่ย เจินอี้ว์ เลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำตำบลซินตู้ซึ่งเป็นผู้นำทางและอำนวยความสะดวกให้กับนายสี จิ้นผิงในครั้งนี้เล่าให้ฟังว่า ตำบลซินตู้ตั้งอยู่บริเวณตอนล่างของลำธารมู่หลาน เกิดภัยธรรมชาติทั้งครั้งใหญ่และเล็กทุกปี ทำให้บรรดาชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก “ผมจำได้แม่นว่าเมื่อท่านผู้ว่าการสีได้ยินประโยคนี้ ท่านกล่าวว่าถึงเวลาที่ต้องพิจารณาแก้ไขปัญหาน้ำล้นลำธารมู่หลานแล้ว”
ณ หมู่บ้านผูป่าน นายสี จิ้นผิงได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนอย่างหนักแน่น ประการแรก จะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อสร้างหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ ประการที่สอง จะบริหารจัดการชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ประสบภัยอย่างเหมาะสม ประการที่สาม สองเดือนหลังจากนี้ผมจะมาเยี่ยมอีกครั้งตอนพวกคุณกำลังจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่
“สิ้นพูดกล่าวนี้ มวลชนต่างก็ปรบมือเสียงดัง” เจิ้ง เหรินหมิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำหมู่บ้านในขณะนั้นเล่าย้อนอดีตให้ฟัง
คำบรรยายภาพ : ทัศนียภาพลำธารมู่หลาน (ภาพจากหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เคลี่)
ไม่ถึงสองเดือนต่อมา ในวันที่ 14 ธันวาคม นายสี จิ้นผิงก็มาจริงๆ
ครั้งนี้ นายสี จิ้นผิงพอใจมากเมื่อเห็นว่าอาคารที่อยู่อาศัยที่สร้างขึ้นใหม่ส่วนใหญ่สร้างเสร็จไปแล้วหนึ่งชั้น และบางหลังก็ขึ้นไปถึงชั้นที่สามแล้ว เขากำชับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นว่าต้องเร่งสร้างให้เสร็จเพื่อให้ชาวบ้านผู้ประสบภัยสามารถย้ายเข้าบ้านใหม่ได้โดยเร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นจริง อย่าทำให้กระทบต่อคุณภาพเนื่องจากความเร่งรีบ
บรรดาชาวบ้านรวมตัวกันเข้ามาหาและเชิญนายสี จิ้นผิงปลูกต้นไม้หนึ่งต้นให้กับหมู่บ้านที่สร้างขึ้นใหม่ นายสี จิ้นผิงตอบตกลงทันทีและได้ปลูกต้นไทรใบเล็กหนึ่งต้น
13 วันต่อมา ในวันที่ 27 ธันวาคม เฟสแรกของโครงการป้องกันน้ำล้นลำธารมู่หลานได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ นายสี จิ้นผิงและผู้นำมณฑลอื่นๆได้ร่วมแรงร่วมใจทำงานกับเจ้าหน้าที่ มวลชน นายทหารและพลทหารประจำท้องถิ่นรวมกว่า 6,000 คน
ควบคู่ไปกับการขุดดินพลั่วแล้วพลั่วเล่าและตอกเสาต้นแล้วต้นเล่า ความหวังที่เฝ้ารอมานับพันปีของชาวผู่เถียนในการกำจัดน้ำท่วมกำลังกลายเป็นความจริงทีละขั้น
ในช่วงสองปีครึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1999 ถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2001 นายสี จิ้นผิง เดินทางไปยังไซต์งานก่อสร้างหลายครั้ง ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อพิเศษต่างๆหลายครั้ง และได้สั่งการหรือให้คำแนะนำหลายครั้ง
คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและทางการเมืองผู่เถียนแต่ละชุดดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการแบบบูรณาการในด้านความปลอดภัยของลำธารมู่หลาน สภาพแวดล้อมทางน้ำ และระบบนิเวศทางน้ำ ในที่สุด น้ำที่ล้นลำธารและท่วมพื้นที่สองฝั่งก็กลับคืนสู่คูน้ำและระบบนิเวศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ปี 2016 พายุไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงเท่ากับพายุไต้ฝุ่นหมายเลข 14 เมื่อปี 1999 พัดถล่มเมืองผู่เถียน ชาวบ้านตามแนวชายฝั่งถึงกับถ่ายภาพคลื่นทะเลไหลย้อนซัดเข้าหาโครงการชลประทาน “มู่หลานเปย” ซึ่งเป็นฉากที่เกิดขึ้นน้อยมาก แต่พนังป้องกันน้ำท่วมทั้งสองฝั่งของลำธารมู่หลานมีความมั่นคงแข็งแรง ภัยพิบัติน้ำท่วมจึงไม่เกิดขึ้นอีก
เดือนมีนาคม ค.ศ. 2002 นายสี จิ้นผิง ผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนในขณะนั้น เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี่ระหว่างที่ร่วมการประชุม “สองสภา”(สองสภา หมายถึงสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีนและสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน)ว่า หลังผ่านการฟันฝ่าต่อสู้มาเป็นเวลาสี่ปี ถึงปลายปี ค.ศ. 2001 มณฑลฝูเจี้ยนได้บรรลุภารกิจเกินเป้าหมายในการสร้างพนังกั้นน้ำ 1,000 กิโลเมตร ได้ปกป้องประชากร ร้อยละ 28และยอดผลผลิตทางอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมร้อยละ 52 ของทั้งมณฑล
นายสี จิ้นผิงเน้นย้ำว่า เราต้องจดจำคำว่า “ประชาชน” ที่อยู่หน้าคำว่า “รัฐบาล”อยู่เสมอ การปกครองประเทศต้องโฟกัสชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละท้องถิ่น ไม่เพียงแต่ต้องวัดจากอัตราการเติบโต รายได้ทางการคลังและตัวชี้วัดอื่นๆ เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น
ทุกวันนี้ เมื่อเดินเข้าไปใน “สวนหมิ่นส่วยหยวน”ของสวนสาธารณะหมิ่นเจียงบนถนนเจียงปินเมืองฝูโจว และเดินขึ้นไปตามบันไดวนทางด้านตะวันออกของกำแพงหิน “หมิ่นส่วยเหยา” ก็จะสามารถไปสู่ถนนทางเดินบนพนังกั้นน้ำแม่น้ำ ซึ่งมีแท่นวงกลมลักษณะแผ่ขยายไปรอบด้านจากจุดศูนย์กลาง และมีอนุสรณ์หินตั้งระหง่านอยู่ตรงกลาง ทางด้านเหนือของอนุสรณ์แห่งนี้มีคำว่า “อนุสรณ์สถานพนังกั้นน้ำ 1,000 กิโลเมตร” สลักไว้ด้วยอักษรเฉ่าซูหรืออักษรหวัด
หลังผ่านการตรวจสอบและรับรองอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 มณฑลฝูเจี้ยนได้สร้างอนุสรณ์สถานการบริหารจัดการน้ำแห่งนี้ขึ้นในสวนหมิ่นส่วยหยวน คำจารึกในด้านหลังของแผ่นศิลาได้บันทึกที่มาที่ไปของ “เส้นทางแห่งชีวิต” นับพันกิโลเมตรไว้ว่า “ในช่วงกว่าสี่ปีที่เปี่ยมไปด้วยอุปสรรคต่างๆ ทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนต่างก็กระตือรือร้น ทหารและพลเรือนร่วมมือกัน ทุกฝ่ายร่วมคิดร่วมทำ ได้บรรลุการลงทุนรวมมูลค่า 3,700 ล้านหยวน ถมดินและหิน 46.23 ล้านลูกบาศก์เมตร ถึงปลายปี 2001 เก้าเมืองที่มีการตั้งพื้นที่บริหารระดับเขตอยู่ภายใต้สังกัด และ 72 อำเภอ (เมืองและเขต) ที่จำเป็นต้องสร้างพนังป้องกันน้ำท่วมได้เสร็จสิ้นการสร้างพนังกั้นน้ำรวม 1,019 กิโลเมตร โดยมาตรฐานการป้องกันน้ำท่วมถึงระดับที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ถึง 200 ปี ทำให้ฝูเจี้ยนกลายเป็นมณฑลแรกในประเทศที่มีการสร้างพนังป้องกันน้ำท่วมที่ได้มาตรฐานขั้นพื้นฐานในพื้นที่เมืองระดับอำเภอขึ้นไปทั้งหมด”
IN/LU