เกี่ยวกับปัญหาอํานาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะหนานซา เอกสารหลายชุดช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แสดงมาตลอดว่าเป็นดินแดนของจีน แต่สหรัฐฯที่ประกาศวางตัวเป็นกลางในข้อพิพาทด้านดินแดนมาโดยตลอด กลับมองเห็นความสงบในทะเลจีนใต้ไม่ได้ ปลุกปั่นฟิลิปปินส์และประเทศอื่น ๆ ให้ลองเชิงจีนบ่อยครั้ง ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับนางหลิว ซิน นักข่าวซีเอ็มจี นายแอนโทนี คาร์ตี ศาสตราจารย์เกียรติคุณของสถาบันวิจัยมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้เปิดเผยแรงผลักดันที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่เบื้องหลังข้อพิพาทในทะเลจีนใต้

นายแอนโทนี คาร์ตี ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขากล่าวว่า ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้จําเป็นต้องวางไว้ในบริบทใหญ่ สหรัฐอเมริกาจงใจปล่อยให้ข้อพิพาททางกฎหมายด้านดินแดนที่หลงเหลือจากความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นค้างอยู่ สิ่งที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกามากที่สุด คือ การทําให้ประเทศในเอเชียตะวันออกทะเลาะกันในเรื่องนี้มาตลอด สหรัฐฯมักจะอ้างอย่างระมัดระวังว่าตนเองเป็นกลางในข้อพิพาทด้านดินแดน แต่ยินดีที่จะสนับสนุนประเทศใด ๆ ที่อ้างว่าถูกคุกคามด้วยกําลังจากจีน สหรัฐฯยืนยันที่จะป่าวประกาศว่าจีนเป็นผู้รุกรานทางทหาร จำเป็นต้องหยุดยั้งเพราะรังแกประเทศเล็กที่ไม่มีกำลังการป้องกันมากนัก

นายแอนโทนี คาร์ตี กล่าวว่า การมองความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับฟิลิปปินส์ต้องอยู่ในบริบทของการปรามอิสระของสหรัฐฯต่อฟิลิปปินส์และผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมทั้งหมด มิเช่นนั้นก็ไม่มีความหมาย ดังนั้น ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับฟิลิปปินส์ทั้งหมดจะต้องมองด้วยเครื่องหมายคําถามขนาดใหญ่ เขากล่าวว่า เขาต้องเน้นว่า สหรัฐฯเชื่อมั่นว่าจีนต้องถูกยับยั้งควบคุม ซึ่งชัดเจนและเป็นต้นเหตุ