ยินดีต้อนรับสู่รายการ “Stories of Xi Jinping” รายการที่แบ่งปันประสบการณ์การทำงานของ สี จิ้นผิง ในรัฐบาลระดับต่าง ๆ ทั่วประเทศเป็นเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อค้นหาคำตอบว่า ความเป็นผู้นำและความคิดของสี จิ้นผิงในการบริหารปกครองประเทศค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร
นอกจากมีวิสัยทัศน์ในการคัดเลือกบุคลากรแล้ว สี จิ้นผิง ยังได้ใช้ประโยชน์จากบุคลากรอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุนทุกสาขาอาชีพเปลี่ยนทรัพยากรมนุษย์ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง
สี จิ้นผิงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับบทบาทของผู้มีความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สนับสนุนให้พวกเขาใช้ความความรู้ความสามารถของตนให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาสังคม
ในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ 1990 ความได้เปรียบด้านเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมของเมืองหนานผิง ที่เคยได้รับฉายาว่า เป็นยุ้งฉางของมณฑลฝูเจี้ยน ค่อย ๆ หายไป ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรที่เสื่อมโทรมอยู่แล้ว ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษในฤดูร้อนปี 1998 ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรในท้องถิ่นลดน้อยลงอย่างมาก
สี จิ้นผิง ได้ลงพื้นที่เมืองหนานผิง เพื่อวางแผนฟื้นฟูเขตประสบภัย หลังจากลงพื้นที่ทำการสำรวจ สี จิ้นผิง แนะให้เมืองหนานผิงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาเกษตรกรรมในชนบท และเศรษฐกิจในท้องถิ่น โดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยกระดับคุณภาพแรงงานให้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการเกษตรไม่ใช่เรื่องง่ายในสมัยนั้น เมืองหนานผิงขาดโครงสร้างพื้นฐานและผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร นอกจากนี้ เกษตรกรในท้องถิ่นอาศัยอยู่ห่างไกลกัน ทำให้ยากต่อการจัดฝึกอบรม
เมื่อเผชิญกับปัญหาดังกล่าว สี จิ้นผิงเสนอให้ส่งผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ทำงานและใช้ชีวิตในหมู่บ้านต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีด้านการเกษตรง่ายขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของกลไกจัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรลงพื้นที่ชนบท และจนทุกวันนี้ กลไกดังกล่าวยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1999 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรชุดแรกจำนวน 225 คน ได้ลงพื้นที่ทำงานประจำในหมู่บ้าน 215 แห่งในเมืองหนานผิง ต่อมาไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้กลายเป็นดาวเด่นในหมู่บ้านชนบททางตอนเหนือของมณฑลฝูเจี้ยน พวกเขาสอนชาวบ้านนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเกษตร ช่วยแก้ไขปัญหาในการผลิต และช่วยฝึกอบรมบุคลากรจำนวนมากในท้องถิ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวบ้านในท้องถิ่นมากขึ้น
นายเซี่ย ฝูซิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกองุ่น หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ลงพื้นที่เมืองหนานผิงได้ช่วยเหลือเกษตรกรมากกว่า 20,000 ครัวเรือน ในการปลูกองุ่นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านในท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการผลิตองุ่น มากกว่า 600 ล้านหยวนต่อปี
นายเซี่ย ฝูซิน กล่าวกับสื่อมวลชนว่า เป้าหมายของเขาคือ ช่วยพัฒนาการเกษตรในท้องถิ่น ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และนี่ก็เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี ปัจจุบัน นายเซี่ย ฝูซิน และผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรจำนวนมาก ยังคงทำงานในพื้นที่ชนบททั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ชาวบ้านในพื้นที่ชนบทสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการเกษตร และพัฒนาหมู่บ้านในชนบท ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น
กลไกจัดส่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านลงพื้นที่ชนบทดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกร ชาวบ้านหลายคนบอกสื่อมวลชนว่า ขอบคุณผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยเหลือพวกเขา ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการเกษตร และทำให้ความหวังและความฝันของเกษตรกรสามารถปรากฏเป็นจริงขึ้นได้
มีเกษตรกรรายหนึ่งบอกว่า แต่ก่อน เขาไม่รู้วิธีดูแลไร่ชาตามหลักวิทยาศาสตร์ ในปี 2018 ศาสตราจารย์ เลี่ยว หง จากมหาวิทยาลัยเกษตรป่าไม้ มณฑลฝูเจี้ยน นำทีมผู้เชี่ยวชาญมาช่วยชาวบ้านที่นี่พัฒนาไร่ชาเชิงนิเวศขนาด 1,000 เอเคอร์ (ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร) ทำให้ชาวบ้านมีความรู้เพิ่มขึ้นและสามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการดูแลไร่ชา
นอกจากเคารพและสนับสนุนให้บุคลากรแสดงบทบาทของตนอย่างเต็มที่แล้ว สี จิ้นผิงกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพยายามสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดีสำหรับบุคลากรด้วย
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ปี 2000 สี จิ้นผิง เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์ฝึกซ้อมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีน ในเมืองจางโจว มณฑลฝูเจี้ยน
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนสร้างประวัติศาสตร์หลังจากคว้าแชมป์ในการแข่งขันวอลเลย์บอลระดับโลกติดต่อกัน 5 ครั้ง จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และความเข้มแข็งทางจิตใจของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนได้กลายเป็นแรงบันดาลใจของชาวจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในช่วงต้นของการปฏิรูปและเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษ 1990 อันดับโลกของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนร่วงลงไป จนถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ซิดนีย์ปี 2000 อันดับโลกของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก
ขณะนั้น ศูนย์ฝึกซ้อมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนได้ใช้งานมาเกือบ 30 ปีแล้ว ตัวอาคารและอุปกรณ์ต่าง ๆ ชำรุดทรุดโทรมไปมาก การสร้างอาคารแห่งใหม่ต้องใช้งบประมาณ 9 ล้านหยวน แต่ไม่มีใครรู้ว่า แผนการก่อสร้างจะได้รับการอนุมัติหรือไม่
เมื่อสี จิ้นผิงรับทราบเรื่องนี้ เขาแสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจนว่า ต้องสนับสนุนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนต่อไปอย่างเต็มที่ การตั้งศูนย์ฝึกซ้อมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนในเมืองจางโจวถือเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนมณฑลฝูเจี้ยน เราต้องรักษาศูนย์ฝึกซ้อมกีฬาแห่งนี้ให้อยู่ในสภาพที่ดี เพื่อสนับสนุนให้วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนมีความแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว
สี จิ้นผิง ยังกล่าวด้วยว่า ศูนย์ฝึกซ้อมกีฬาแห่งนี้ ยังใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสร้างเสริมอุดมการณ์รักชาติ จำเป็นต้องได้รับการบูรณะซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน
หลังจากนั้น การก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ของศูนย์ฝึกซ้อมกีฬาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในเดือนกรกฎาคม ปี 2001 สี จิ้นผิง เดินทางไปเยี่ยมนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนที่ศูนย์ฝึกซ้อมอีกครั้ง
สี จิ้นผิง กล่าวว่า ประชาชนเมืองจางโจวถือว่า นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนเหมือนเป็นคนในครอบครัวของตนเอง นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนที่เดินทางมาฝึกซ้อมที่นี่จึงเหมือนได้กลับมาบ้านของตน
การสนับสนุนและการให้กำลังใจของสี จิ้นผิง ทำให้นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนรู้สึกอบอุ่นและสร้างกำลังใจอย่างมากในการแข่งขัน
ต่อมา ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ปี 2003 ทีมชาติจีนคว้าแชมป์โลกได้อีกครั้งหลังจากห่างหายไป 17 ปี
ในเดือนมีนาคม ปี 2004 วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนได้เข้าไปใช้งานอาคารแห่งใหม่ของศูนย์ฝึกซ้อม ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนได้รับเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงเอเธนส์ และได้ยืนบนโพเดี้ยมที่สูงที่สุดของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอีกครั้ง หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไป 20 ปี
ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมการฝึกซ้อมของนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนดีขึ้นเรื่อยๆ การสนับสนุนและให้กำลังใจของสี จินผิง ทำให้วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนมีความแข็งแกร่งขึ้น และสร้างผลงานการแข่งขันที่ดีอย่างต่อเนื่อง
(yim/cai)