เฮ่อ เซียงหมิ่น วัย 54 ปี และเหลียง เฉิง วัย 52 ปี เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้นที่รู้จักกันมาเกือบ 40 ปี สองคนนี้อาศัยอยู่ที่เมืองจูโจวของมณฑลหูหนาน เมื่อเร็วๆ นี้ เหลียง เฉิง รู้สึกไม่สบายจึงไปตรวจสุขภาพที่เมืองฉางซา เมืองเอกของมณฑลหูหนาน และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลิ้น หลังจากคิดทบทวนหลายครั้ง เขาตัดสินใจเลือกที่จะยุติการรักษา
หลังจากเหลียง เฉิง กลับมาจูโจวแล้ว ก็ไปที่บ้านของเฮ่อ เซียงหมิ่น ก่อน และแสดงความคิดของตัวเอง ซึ่งก็คือไม่อยากรักษาต่อไปแล้ว อยากออกไปเที่ยว เฮ่อ เซียงหมิ่น บอกว่า ทั้งสองคนมีอายุกว่า 50 กันแล้ว จึงเข้าใจและเคารพกันอย่างมาก สิ่งที่เหลียง เฉิง อยากทำนั้น ตราบใดที่ตัวเองสามารถทำได้ ก็จะเห็นด้วยโดยไม่ลังเล
เป้าหมายแรก ทั้งสองมาถึงเขตกวางสีเพื่อชมทะเล พวกเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าและพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น หลับไปพร้อมกับเสียงคลื่นในตอนดึก และยังเล่นกีตาร์ในตอนว่าง ๆ ชีวิตแบบนี้ มีความอิสระและความสบายมากในสายตาของพวกเขา เฮ่อ เซียงหมิ่น บอกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เหลียง เฉิง ทนไม่ไหวอีกต่อไป หรืออยากกลับบ้าน เราก็จะเดินทางกลับ และเหลียง เฉิงก็ได้มอบจดหมายลาตายไว้กับเฮ่อ เซียงหมิ่น ล่วงหน้าแล้ว ทั้งสองคนได้เตรียมพร้อมรับสภาพการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เขาได้สัญญากับเหลียง เฉิง ด้วยว่า หากมีสิ่งที่คาดคิดไม่ถึงเกิดขึ้นระหว่างทาง ก็จะพาเขากลับบ้านด้วย
แม้ว่าเฮ่อ เซียงหมิ่น กับเหลียง เฉิง เป็นเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนมัธยมต้น แต่ในตอนแรก สองคนไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาๆ ต่อมา สองคนนี้ได้มีครอบครัวของตน และเมื่อพบกันบนถนน จะทักทายกันหน่อย เป็นเพียงเพื่อนธรรมดาแบบนี้
ส่วนเฮ่อ เซียงหมิน นั้นเป็นคนที่ชอบการเดินทาง ขี่มอเตอร์ไซค์ และทำความรู้จักกับเพื่อนฝูง เขามักจะรวมตัวกับเพื่อน ๆ และดื่มชา พูดคุยที่บ้าน เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว เหลียง เฉิง มาถึงบ้านของเฮ่อ เซียงหมิ่น โดยบังเอิญ และตกหลุมรักบรรยากาศแบบนี้มาก การติดต่อกันระหว่างสองคนนี้ก็บ่อยขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งพวกเขาบอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนเพิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เพียงในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมานี้
เพราะฉะนั้น หลังจากเหลียง เฉิง เดินทางไปรักษาตัวที่เมืองฉางซา และกลับไปถึงจูโจวแล้ว ก็โทรหาเฮ่อ เซียงหมิ่น แล้วเล่าให้ฟังทันที เนื่องจากพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้ว และลูกก็อาศัยอยู่กับภรรยาเก่า ซึ่งหย่าแล้ว แพทย์จึงบอกอาการให้กับเขาโดยตรง ส่วนเขาก็ใจเย็นมากกับเรื่องนี้ ซึ่งทำให้เฮ่อ เซียงหมิ่น ชื่นชมและนับถือมาก
เมื่อเหลียง เฉิง กลับมาที่จูโจว ไม่ได้กลับถึงบ้านของตัวเอง แต่มาที่บ้านของเฮ่อ เซียงหมิ่น พอเข้ามาในประตู เขาก็พูดโดยตรงว่า พี่เฮ่อ ผมอยากออกไปเที่ยว พี่ไปเป็นเพื่อนได้ไหม เฮ่อ เซียงหมิ่น รู้ว่า เหลียง เฉิงต้องคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้แล้ว ก็เลยตกลง เขาบอกว่า เขาไม่สงสัยกับการตัดสินใจนี้ของเหลียง เฉิง และก็จะไม่ถามอะไร ซึ่งน่าจะเป็นความเชื่อมโยงทางจิตใจของเพื่อนเก่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฮ่อ เซียงหมิ่น แทบไม่มีเงินเก็บเลย เพราะเขากับภรรยาหย่าร้างเมื่อไม่กี่ปีมาก่อน และเงินเดือนจะให้ไปเป็นค่าเลี้ยงลูก ดังนั้น เขาจึงใช้เงินเท่าที่หามาได้ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เฮ่อ เซียงหมิ่น วางแผนที่จะเก็บเงินไว้เพื่อการเดินทาง ซึ่งเพื่อน ๆ ชอบอาหารที่เขาทำมาก เมื่อก่อน เขาไม่เคยเก็บเงินจากเพื่อนที่มาทานอาหารที่บ้าน แต่หลังจากนั้นมา เขาก็เริ่มเก็บเงิน และค่าใช้จ่ายก็ประมาณเท่ากับราคาในร้านอาหารเล็กๆ ส่วนเพื่อนๆก็เข้าใจและสนับสนุนอย่างมาก ยังมีหลายคนฝากเงินหลายพันหยวนกับเขา เพื่อเก็บไว้สำหรับการประทานอาหาร
แต่สำหรับสุขภาพของเหลียง เฉิง แล้ว พอกลับจากฉางซา ก็ยังดูเหมือนปกติดี แต่สุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ เฮ่อ เซียงหมิ่น รู้ว่า ตอนแรกที่เหลียง เฉิง บอกว่าอยากออกไปเที่ยว หมายถึงการขี่มอเตอร์ไซค์กับเขา แต่ต่อมา เมื่อเห็นสภาพของเขาแย่ลงเรื่อยๆ ก็เลยกังวลมาก เขากลัวว่า ถ้ารออีกต่อไป แม้แต่รถเก๋งก็นั่งไม่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมอเตอร์ไซค์เลย เฮ่อ เซียงหมิ่น กล่าวว่า ไม่รู้ว่าจะรอนานอีกแค่ไหน จึงจะเก็บเงินได้มากพอ ก็เลยยืมเงินจากเพื่อนก่อน แล้วไปซื้อรถตู้มือสอง