การวิจัยเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับเมืองจิ้นเจียงนั้น นายสี จิ้นผิงให้ความสำคัญกับความเป็นวิทยาศาสตร์และความรัดกุมรอบคอบอยู่เสมอ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2002 นายสี จิ้นผิงได้เดินทางไปยังเมืองเฉวียนโจวเพื่อสำรวจข้อมูลประกอบการวิจัยเฉพาะทาง เกี่ยวกับประเด็นที่ว่ามันเป็น “โมเดลจิ้นเจียง” หรือ “ประสบการณ์จิ้นเจียง”กันแน่นั้น นายสี จิ้นผิงกล่าวว่า “นอกเหนือจากโมเดลจิ้นเจียงแล้ว ในความเป็นจริงทุกอำเภอในเมืองเฉวียนโจวต่างก็กำลังเรียนรู้และเลียนแบบแนวคิดการพัฒนาแบบจิ้นเจียง แต่ในกระบวนการเรียนรู้นั้นแต่ละอำเภอก็มีลักษณะการพัฒนาของตัวเองที่แตกต่างกัน หาใช่ลอกเลียนโมเดลจิ้นเจียงไม่ และในอนาคตหากมีพื้นที่อื่นๆเรียนรู้จากแนวคิดนี้อีก พวกเขาก็คงจะไม่คัดลอกไปทั้งหมดเช่นกัน ดังนั้นเราเรียกว่า'ประสบการณ์จิ้นเจียง'จะดีกว่า”
นายเฉิน หยุน รองผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนในขณะนั้น ได้ติดตามนายสี จิ้นผิงในการสำรวจพิเศษครั้งนี้ เขายังคงจำได้แม่นว่าในตอนท้ายของการสำรวจนั้น นายสี จิ้นผิง ได้เปลี่ยนคำว่า “โมเดลจิ้นเจียง” ในสุนทรพจน์เดิมให้เป็น “ประสบการณ์จิ้นเจียง”ทั้งหมด
นายสี จิ้นผิง อธิบายความคิดเห็นของเขาเพิ่มเติมว่า “โมเดลมักจะมีโครงสร้างที่ตายตัวอยู่เสมอ ผมรู้สึกเสมอว่าภาคปฏิบัติในการพัฒนาจิ้นเจียงของเรายังคงดำเนินต่อไป ประสบการณ์เชิงสร้างสรรค์ยังคงกำลังเพิ่มความสุกงอม ความสมบูรณ์และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากเราเรียกว่า‘ประสบการณ์จิ้นเจียง’ อาจยิ่งสอดคล้องกับหนทางที่จิ้นเจียงได้เดินผ่านและหยาดเหงื่อที่ได้อุทิศตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังยิ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของเราอีกด้วยว่ามันจะทำได้ดียิ่งขึ้นและก้าวหน้าเร็วยิ่งขึ้นในอนาคต ”
วันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2002 ในที่ประชุมคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและทางการเมืองเฉวียนโจวที่จัดขึ้นหลังการสำรวจพิเศษครั้งนี้ นายสี จิ้นผิง ได้อธิบายอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับสี่ขั้นตอนของการพัฒนา “โมเดลจิ้นเจียง” ทั้งยังได้เสนอแนวคิด “ประสบการณ์จิ้นเจียง!”ในเวทีสาธารณะอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
คำบรรยายภาพ : ปี ค.ศ.1992 จิ้นเจียงได้รับการยกระดับเขตบริหารจากอำเภอเป็นเมือง
ตั้งแต่นั้นมา คำว่า “ประสบการณ์จิ้นเจียง” ก็ค่อยๆ แพร่หลายไปในโลกวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการวิจัยเศรษฐกิจ
เดือนมีนาคม ค.ศ. 1996 ในฐานะรองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลฝูเจี้ยน นายสี จิ้นผิงเริ่มรับผิดชอบงาน “สามเกษตร (หมายถึงเกษตรกรรม ชนบท และเกษตรกร)” ของทั้งมณฑล ในเดือนสิงหาคมปีนั้น เขาได้เดินทางไปที่จิ้นเจียงเพื่อสำรวจข้อมูลประกอบการวิจัย นี่เป็นครั้งแรกที่เขา “ลงพื้นที่จิ้นเจียงเจ็ดครั้งในหกปี ”
เมื่อทราบว่าสัดส่วนของการเกษตรในจิ้นเจียงมีเพียงมากกว่าร้อยละ 3 เท่านั้น นายสี จิ้นผิงกล่าวว่า “จิ้นเจียงมีการพัฒนาค่อนข้างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จอย่างน่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม ประเทศของเราเป็นประเทศเกษตรกรรมขนาดใหญ่มาโดยตลอด เรายังคงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเกษตรมากยิ่งขึ้น มิฉะนั้นอาจนำไปสู่การพัฒนาที่ไม่สมดุล วิสาหกิจชนบทได้มีส่วนช่วยในการพัฒนาของท้องถิ่นอย่างมากก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนล้วนต้องมีส่วนร่วมในวิสาหกิจชนบท หากปราศจากเกษตรกรรมก็จะไม่มีความมั่นคง ต้องไม่ลืมห่วงโซ่เกษตรกรรมในโครงสร้างอุตสาหกรรมโดยตลอด”
แม้พูดเรื่องการเกษตร แต่สิ่งที่ไตร่ตรองคือควรดำเนินการอย่างไรเพื่อทำให้โครงสร้างอุตสาหกรรมของจิ้นเจียงมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ภารกิจการปฏิรูปและการเปิดประเทศของจีนได้เข้าสู่ทางแยกใหม่ กล่าวคือจีนเพิ่งเข้าร่วมองค์การการค้าโลก เริ่มหลอมรวมเข้ากับระบบโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง ผลพวงของวิกฤตการเงินในเอเชียยังคงหลงเหลืออยู่------
จิ้นเจียงท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนก็เริ่มเผชิญกับ“ความวิตกกังวลระหว่างการเติบโต" กล่าวคือ มีบริษัทขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลไม่มาก ระดับเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ไม่สูง เทคโนโลยีไฮเทคหาได้ยาก การพัฒนาอุตสาหกรรมและการขยายตัวของเมืองไม่สอดคล้องกัน------
“เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใหม่และศตวรรษใหม่ เราควรทำอย่างไรต่อไปเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของจิ้นเจียง” ในระหว่างการสำรวจจิ้นเจียงในปี 1999 นายสี จิ้นผิงได้ออก“แบบทดสอบ”ให้กับตัวเอง
การสำรวจครั้งนี้ของเขาเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรม การเปลี่ยนผ่านของวิสาหกิจเอกชน และการสร้างสรรค์เพื่อการขยายตัวของเมือง
“นอกจากการตรวจเยี่ยมชุมชน พื้นที่ชนบท และหน่วยงานระดับรากหญ้าแล้ว เขายังเน้นเยี่ยมเยียนวิสาหกิจเอกชนหลายแห่ง เช่น เหงอัน สุนซิง ชินชิน โยวหลานฟา หวนฉิว เป็นต้น ได้เปิดใจพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบรรดาผู้ประกอบการ เขาถามไถ่ละเอียดมาก ซึ่งบ่อยครั้งที่เขาอยู่ในโรงงานเดียวเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง” นายเฉิน จางจิ้น รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองจิ้นเจียงในขณะนั้นซึ่งเคยติดตามนายสี จิ้นผิง ในการสำรวจจิ้นเจียงสี่ครั้งเล่าย้อนอดีตให้ฟัง
“ในสายตาของนายเฉิน จางจิ้น จิ้นเจียงถือเศรษฐกิจเอกชนเป็นพื้นฐาน นายสี จิ้นผิงถือวิสาหกิจเอกชนเป็นจุดเน้นในการสังเกตและสำรวจ จากนั้นจึงแยกแยะและพิเคราะห์ปัญหาที่ค้นพบอย่างเป็นระบบ ถือเป็นแนวคิดสำคัญของเขาในการสำรวจและสรุป “ประสบการณ์จิ้นเจียง”
“ทุกครั้งที่เข้ามาในวิสาหกิจ เขามักจะถามอย่างละเอียดว่ามีการนำเข้าเทคโนโลยีใหม่และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ไหม บุกเบิกตลาดอย่างไร วิสาหกิจต้องทำอย่างไรจึงจะขยายใหญ่ขึ้นได้ และมีปัญหาอะไรบ้าง เขาเคยให้กำลังใจวิสาหกิจหลายครั้งให้ถือตลาดเป็นทิศทาง ดำเนินการสร้างนวัตกรรมระบบ นวัตกรรมการบริหารจัดการ นวัตกรรมโครงสร้าง นวัตกรรมเทคโนโลยี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนวัตกรรมการตลาดให้ดี นายเฉิน จางจิ้น กล่าว
คำแนะนำของนายสี จิ้นผิง มีบทบาทผลักดันการพัฒนาของวิสาหกิจจำนวนหนึ่งโดยตรง
IN/LU