ขณะนี้จีนกำลังดำเนินโครงการพัฒนา 5 ปี ชุดที่ 12 ส่วนยุโรป ดำเนินยุทธศาสตร์ปี 2020 ดังนั้น การเยือนในครั้งนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
หากมองย้อนกลับไปในปีที่แล้ว นโยบายการต่างประเทศของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ให้ความสำคัญกับการเยือนภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทั้งเพื่อเปิดตัวแนะนำรัฐบาลใหม่ที่เพิ่งขึ้นบริหารประเทศ ในเวลาเดียวกันก็ขยายความร่วมมือระหว่างกันด้วย อีกทั้งในการเดินทางแต่ละครั้ง ประธานาธิบดีจีนยังใช้โอกาสในการเข้าร่วมประชุมเวทีระดับนานาชาติ เพื่อแสดงจุดยืนจีนต่อเวทีระดับโลกด้วย
ผู้นำจีนและคณะเดินทางเยือนต่างประเทศรวม 5 ครั้ง 5 ทวีป จำนวน 14 ประเทศ ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 39 วัน โดยไปเยือนประเทศต่างๆ ดังนี้
กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเข้าร่วมการประชุมเอเป็ค ครั้งที่ 21 เอเชียกลาง และเยือนประเทศ คาซัคสถาน เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถานและคีร์กิซสถาน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านจีน พร้อมเข้าร่วมการประชุมจี 20 ครั้งที่ 8 ที่รัสเซีย
กลุ่มประเทศละตินอเมริกาและแคริเบียน
กลุ่มประเทศแอฟริกา แทนซาเนียและคองโก พร้อมเข้าร่วมการเจรจากลุ่มบิคส์ ครั้งที่ 5
รัฐบาลจีน ยังดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ โดยใช้การฑูตผ่านการกีฬา สะท้อนจาก การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดือนทางไปร่วมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาว ที่เมือง โซชิ ของรัสเซีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และอีกด้านหนึ่งก็เป็นการไปดูลู่ทางเตรียมตัวซึ่งจีนได้สมัครขอเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวครั้งที่ 24 ในปี 2022 ด้วย จีนให้ความสำคัญกับการทูตในระดับนานาชาติมากขึ้น โดยเข้าไปมีบทบาทในปัญหาความขัดแย้งหลายเรื่อง อาทิ ปัญหาซีเรีย ปัญหาในทวีฟแอฟริกา ซูดานใต้ ปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน หรือการให้ความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติเพื่อจัดการปัญหาระหว่างประเทศ เป็นต้น
นอกจากบทบาทในเวทีระหว่างประเทศแล้ว จีนยังได้ขยายอิทธิพลไปยังภูมิภาคต่างๆเพิ่มขึ้นผ่านกลไกด้านการค้า การลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีเครื่องมือด้านภาษาและวัฒนธรรมอีกด้วย จากนี้ไป ต้องจับตามองความเคลื่อนไหวของจีนที่จะเป็นชาติมหาอำนาจและมีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น
โสภิต หวังวิวัฒนา เรียบเรียง
2014-04-04