|
การแต่งงานเป็นเรื่องที่น่ายินดี การเสียชีวิตของคนในบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ชวนเศร้าเสียใจ แต่ชนชาติถู่เจียที่อาศัยอยู่ในแถบเขาต้าปาซาน อู่หลิงซานทางภาคกลางและภาคตะวันตกของจีนกลับตรงกันข้าม พวกเขาเห็นว่า ลูกสาวจะออกเรือนแล้ว จะต้องจากพ่อแม่และพี่น้องของเธอไปเป็นเรื่องที่ชวนเศร้าโศกเสียใจ จะต้องร้องไห้กันพักหนึ่งส่วนญาติสนิทถึงแก่กรรมนั้น เป็นการสิ้นสุดด้วยดีในชั่วชีวิตของพวกเขา คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านควรใช้รูปแบบที่ร้องเพลงเต้นรำอันครึกครื้นฝังญาติที่เสียชีวิต.
ชาวชนชาติถู่เจียจะใช้รูปแบบการร้องเพลงเต้นรำมาส่งญาติสนิทที่เสียชีวิต ชาวถู่เจียมองเรื่องความเป็นความตายด้วยความใจกว้าง วกเขาถือธรรมเนียม"ให้ส่งผู้วายชนม์อย่างครึกครื้น จัดงานศพอย่างดีอกดีใจ" โดยจะมีการจัดงานศพด้วยความคึกคักยิ่ง.
ในหมู่บ้านเขตเขาชนชาติถู่เจีย ถ้าได้ยินเสียงเป่าปี่โซน่าบรรเลงก้อง และเสียงฆ้องเสียงกลอง คนในหมู่บ้านก็จะทราบว่าบ้านไหนมีผู้เสียชีวิต ต่างจะมาร่วมงานศพที่ห้้องโถงตั้งศพจะเห็นบรรดาหมอผีที่มาทำพิธี แต่ละคน มือถือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง พอเสียงดนตรีดังขึ้น ผู้มาร่วมงานศพ จะจัดเป็นกลุ่มๆละหลายคน ร้องเพลงเต้นรำในห้องโถงตั้งศพไปพร้อมกับหมอผี และนี่ก็คือ "การเต้น งานศพ"อันคึกคักของชาวชนชาติถู่เจียของจีน.
"การเต้นในงานศพ"เป็นสัญญลักษณ์แห่งไมตรีจิตมิตรภาพระหว่างเพื่อนบ้านด้วยกัน บ้านไหนมีงานศพ คนในหมู่บ้านจะมาร่วมงานกัน "การในเต้นงานศพ"นั้นด้านหนึ่งเป็น การสดุดีผู้วายชนม์ ปลอบใจญาติผู้เสียชีวิต อีกด้านหนึ่งเป็นการเตือนใจสั่งสอนผู้คนทั่วไป เพลงที่พวกเขาร้องนั้นส่วนใหญ่มีเนื้อหาที่ร้องว่า แม้ท่านจะเป็นราชาหรือขุนพลก็ไม่พ้นที่จะถูกกลบฝังอยู่ในดิน แม้ท่านจะมีตำแหน่งสูงส่งปานใด ก็มีเพียงโลงศพเพียงโลงเดียว. ท่วงทำนองของเพลงไว้ทุกข์นั้นมีมากมายหลากชนิด จังหวะร่าเริงแจ่มใส บรรยากาศครึกครื้น.
งานสมรสของชนชาติถู่เจียนั้นเมื่อเทียบกับงานศพแล้วกลับมีบรรยากาศที่โศกเศร้าอยู่ไม่น้อย ตามประเพณี หญิงสาวก่อนออกเรือนนั้นจะต้องร้องไห้คร่ำครวญอย่างน้อยเจ็ดวัน บางรายนานถึงเดือนกว่าก็มี เนื้อหาในการร้องคร่ำครวญนั้นก็มีมากมาย มีคร่ำครวญถึงพี่น้อง คุณอา คุณน้า คร่ำครวญอำลาบรรพบุรุษเป็นต้น คือเห็นอะไรก็ร้องคร่ำครวญในสิ่งนั้น สรุปแล้วคือจะต้องแสดงให้เห็นถึงความโศกเศร้าของตนที่จะต้องออกเรือนไป.
ชาวชนชาติถู่เจีนเห็นว่า เจ้าสาวยิ่งร้องไห้ ก็จะมีความ มั่งคั่งร่ำรวยยิ่งเร็ว พวกเขากระทั่งถือระดับการร้องไห้ตอนออกเรือนมาเป็นมาตรฐานวัดคุณธรรมความสามารถของผู้หญิง คนที่สามารถร้องคร่ำครวญได้คล่องเป็นล่องน้ำ มีถ้อยสำนวนสละสลวย ร้องไปคร่ำครวญไปจนเป็นที่ซาบซึ้งใจคน และร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง สองตาบวมและแดงกร่ำ ก็จะเป็นที่ชื่นชมของผู้คนทั้งหลาย ส่วนเจ้าสาวที่ร้องไห้ไม่เป็น กลับจะถูกนินทาและเป็นที่หัวเราะเยาะด้วยเหตุนี้ หญิงสาวชนชาติถู่เจียไม่น้อยจะฝึกร้องไห้กับคนอื่นตั้งแต่เด็กๆ.
การร้องไห้ออกเรือนในตอนแรกๆนั้น จะร้องเป็นช่วงๆไปอย่างเป็นอิสระเสรี เวลามีญาติหรือเพื่อนบ้านมาให้ของขวัญก็จะร้องกัน ถือเป็นการตอบขอบคุณ ในคืนก่อนหน้าวันสมรสหนึ่งวันถึงวันรุ่งขึ้นที่จะออกเรือนนั้น การร้องไห้จะขึ้น สู่ระดับสูงสุด พ่อแม่เจ้าสาวจะเชิญญาติสาวและเพื่อนบ้านสาว ๙ คน มานั่งล้อมวงที่โต๊ะร่วมร้องไห้กับเจ้าสาวจนโต้รุ่ง เนื้อหาที่คร่ำครวญรำพันนั้น ส่วนใหญ่เป็นคำอาลัยอาวรณ์ในยามที่จะจากกัน อย่างเช่น บุญคุณของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ประหนึ่งฟ้าดิน เลี้ยงดูสั่งสอนลูกมาแสนเหนื่อยใจ ต้นไม้ต้องการสงบแต่ลมไม่หยุดพัด บุญคุณยังไม่ทันได้ทดแทนก็จะต้องมาจากพรากไป คิดถึงบ้านเกิดเฝ้าคอยวันกลับคืนมา แม้ได้กลับมาก็จะอยู่ได้สักกี่วัน ธารน้ำหน้าบ้านไหลไกล น้ำตาลูกหญิงไหลหลั่งรินเรื่อยไป.
เนื้อเพลงที่ร้องคร่ำครวญของสาวชนชาติถู่เจียนั้นจะร้องรำพึงรำพันกันสดๆ ฟังแล้วชวนซาบซึ้งใจยิ่ง นางหยางอิงในวัย ๕๐ กว่าที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนชาติถู่เจียหมู่บ้านหนึ่งทางตะวันตกของมณฑลหูหนานกล่าวว่า เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อนตอนที่เธอออกเรือนนั้น ร้องไห้นานถึงหนึ่งเดือนกว่าเธอเล่าให้ฟังว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกเดือนกว่าก่อนหน้าที่เจ้าบ่าวจะมารับตัวเจ้าสาวนั้น เจ้าสาวก็ต้องเริ่มร้องไห้แล้ว เพื่อนบ้าน เพื่อนนักเรียน น้องสาวและคนที่โตเท่าๆกันในหมู่บ้านจะมาร่วมร้องไห้เป็นเพื่อน ไม่ว่าใครก็มีวันเช่นนี้ ต้องร้องไห้กัน เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ คุณป้าคุณอา คุณน้าร้องไห้นั้น ชวนให้น้ำตาไหลจริงๆ.
การร้องไห้ยามออกเรือนเป็นพิธีและขั้นตอนที่ขาดมิได้ในงานสมรสของชนชาติถู่เจีย และได้กลายเป็นรูปแบบศิลปที่มีเอกลักษณ์รายหนึ่งของชนชาติถู่เจียไปแล้ว ขณะที่ผู้สื่อข่าวไปทำข่าวที่หมู่บ้านของนางหยางอิงนั้น ประจวบกับมีหญิงสาวชนชาติถู่เจียนางหนึ่งใกล้จะออกเรือน ที่บ้านกำลังวางเทปเพลงร้องไห้ตอนออกเรือนพอดี ส่วนคู่บ่าวสาวในอนาคตนั้นไปจับจ่ายซื้อของกันในเมือง นางหยางอิงผู้ เป็นเพื่อนบ้านบอกผู้สื่อข่าวว่า เมื่อสองปีก่อนตอนที่ลูกสาวของนางออกเรือนนั้น ก็ได้ซื้อแผ่นเสียงมาวางให้ร้องไห้อยู่หลายวัน นางบอกว่า ยุคสมัยพัฒนาแล้ว ความคิดของผู้คนก็เปลี่ยนไป หญิงสาวชนชาติถู่เจียก่อนออกเรือนไม่ต้องร้องห่มร้องไห้กันอีกแล้ว ตามตลาดมีเทปเพลงร้องไห้ขายกัน จะวางให้ร้องกันสักกี่วันก็ไม่เป็นปัญหา นางเห็นว่าวิธีนี้ดีมาก ทั้งสามารถรักษาประเพณีไว้ และก็สามารถรักษาสุขภาพของหญิงสาวทั้งหลายด้วย.
แม้การออกเรือนจะมีความเศร้าอาดูรอยู่บ้าง แต่ในเรื่องความรักนั้น หนุ่มสาวชนชาติถู่เจียมีความเป็นอิสระเสรีมาก หนุ่มๆสาวๆหลังจากได้รู้จักกันจากการร้องเพลงโต้ตอบ เต้นรำกัน และรักกันแล้ว หาคนมาเป็นประจักษ์พยานก็แต่งงานกันได้ และจะไม่มีการขอสินสอดทองหมั้นใดๆ เพลงรักของชนชาติถู่เจียที่ร้องโต้ตอบกันนั้นส่วนใหญ่ เป็นเนื้อหาที่สะท้อนให้เห็นความใฝ่หาในรักที่อิสระเสรี.
การร้องเพลงเต้นรำและดีใจในเรื่องตายและประเพณีร้องไห้ในยามออกเรือนของชนชาติถู่เจียนั้น ล้วนมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับบรรพบุรุษของชนชาตินี้ที่นิยมชมชอบดนตรีและเต้นรำ.
ทุกวันนี้ เวลาผ่านไปสองพันกว่าปี ในขณะที่ชาวถู่เจีย สืบทอดประเพณีเก่าแก่เหล่านี้นั้น ยังได้เสริมเนื้อหาใหม่ๆตามสถานการณ์เข้าไปด้วย ไม่ทราบว่าอีกหลายปีผ่านไปประเพณีเก่าแก่ที่น่าสนใจเหล่านี้ของชาวชนชาติถู่เจียยังจะดำรงอยู่หรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนเรื่องหนึ่งก็คือ ชาวถู่เจียที่ชาญฉลาดคงจะสร้างรูปแบบที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของตนให้มีมากขึ้นแน่นอน
|