2021-03-31 13:27CRI
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ชาวปักกิ่งตื่นเช้ามาพบว่าภายนอกหน้าต่างกลายเป็นสีเหลืองเทาไปหมด พายุทรายที่ไม่มีให้เห็นนานหลายปีได้หวนกลับมาอีกครั้ง
ข้อมูลจากสถานีอุตุนิยมวิทยาส่วนกลางของจีนแสดงว่าในวันดังกล่าว พื้นที่ทางภาคเหนือของจีน ได้แก่ กรุงปักกิ่ง มณฑลเหอเป่ย มณฑลซานซี มณฑลกันซู่ และเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ได้เกิดพายุทรายพัดเข้าปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ บางพื้นที่ทัศนวิสัยต่ำกว่า 500 เมตร นับเป็นพายุทรายขนาดใหญ่ครั้งแรกในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ และรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี
เมื่อพูดถึง “พายุทราย” ย่อมเป็นเรื่องที่ชาวไทยไม่คุ้นเคย แต่กลับไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับชาวปักกิ่ง เพราะตั้งแต่ครึ่งหลังศตวรรษที่ 20 จนถึงต้นศตวรรษที่ 21 ปักกิ่งมักจะเกิดพายุทรายพัดปกคลุมในช่วงฤดูใบไม้ผลิอยู่เสมอ เวลาเดินไปข้างนอกหายใจจะรู้สึกได้กลิ่นฝุ่น ส่วนรถที่จอดทิ้งไว้ก็จะเห็นฝุ่นละอองปกคลุมอย่างเห็นได้ชัด การดำเนินมาตรการป้องกันและจัดการทะเลทรายอย่างมีประสิทธิภาพของจีน หลายปีมานี้ พายุทรายค่อยๆ หายไปจากตัวเมือง และผู้คนอดถามไม่ได้ว่า จีนได้ลงมือโครงการปลูกป่าไม้ป้องกันทะเลทรายในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากว่า 40 ปีแล้ว ทำไมพายุทรายจึงยังพัดแผ่ปกคลุมรุนแรงอย่างนี้อีก?
ตามการวิเคราะห์ของหน่วยงานตรวจวัดที่เกี่ยวข้องของจีน ต้นกำเนิดพายุทรายครั้งนี้มาจากต่างประเทศ จีนเป็นเพียง “ทางผ่าน” โดย 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดพายุทราย ได้แก่ ทะเลทราย ลมแรงและพลังความร้อนซึ่งครั้งนี้มีครบทั้งหมด จึงได้เกิดพายุทรายแรงสุดในรอบ 10 ปีของจีน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า สถานการณ์แบบนี้พบได้ไม่บ่อย และจะไม่ใช่สภาพปกติ ประชาชนทั่วไปไม่ต้องกังวลเกินไป
ความจริงแล้ว หลายปีมานี้ จีนให้ความสำคัญกับการป้องกันและควบคุมทะเลทรายประสบผลสำเร็จ ฝุ่นทรายในอากาศของจีนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่อำนวยประโยชน์แก่จีนแต่ยังได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการปรับปรุงคุณภาพอากาศในภูมิภาคด้วย
สถิติจากมหาวิทยาลัยบอสตันแสดงว่า จีนกำลังกลายเป็นผู้นำการปลูกป่าทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2000 อัตราการปลูกพืชคลุมดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ซึ่งจีนได้สร้างคุณูปการต่อดัชนีดังกล่าวถึงร้อยละ 25 บทบาทการลดฝุ่นทรายในอากาศจากการปลูกป่าและจัดการทะเลทรายได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์
โดยเฉพาะเขตปกครองตนเองมองโกเลียในของจีน ซึ่งเป็นการปกครองระดับมณฑล อันมีสภาพแห้งแล้งเป็นทะเลทรายรวมอยู่มากที่สุดของจีน ได้ยึดแนวคิดให้ความสำคัญกับระบบนิเวศก่อน และพัฒนาแบบสีเขียว เพิ่มการฟื้นฟูระบบนิเวศของทะเลทราย
ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (ปี 2016-2020) พื้นที่ที่เป็นทะเลทรายของเขตปกครองตนเองมองโกเลียในลดน้อยลง ได้จัดการทะเลทรายเนื้อที่ 12 ล้านโหม่ว (ประมาณ 8,000 ตารางกิโลเมตร) ปัญหาการขยายตัวของทะเลทรายได้รับการบรรเทา ในท้องถิ่นได้เลือกปลูกพืชทนแล้งในทะเลทรายที่มีความหลากหลาย ขณะเดียวกันก็ดำเนินการด้านนวัตกรรมทางเทคนิค เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันทะเลทราย
ในหนทางการป้องกันและจัดการทะเลทรายของจีนนั้น จีนได้สำรวจและสรุปประสบการณ์ล้ำค่าจากประสบการณ์ของตนเอง ส่วนเหตุการณ์พายุทรายครั้งนี้ก็แสดงว่า แค่ลำพังดูแลเฉพาะในพื้นที่ของจีนยังไม่พอ เรื่องที่เกี่ยวข้องถึงทั่วโลกนั้น ต้องร่วมมือกันถึงจะสำเร็จ การป้องกันและจัดการทะเลทรายต้องอาศัย ความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ระบบนิเวศ การจัดการสิ่งแวดล้อมส่วนภูมิภาค ยังมีหลายเรื่องต้องทำ และยังมีหลายเรื่องทำได้อีก ประสบการณ์ของจีนด้านการป้องกันและจัดการทะเลทรายก็สามารถเป็นตัวอย่างให้กับประเทศที่เกี่ยวข้องอ้างอิง โดยประเทศต่างๆ ควรร่วมมือกันผลักดันการจัดการและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมส่วนภูมิภาคและทั่วโลก หายใจเข้าและออกร่วมกัน เชื่อมั่นว่า ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีอากาศที่สะอาดปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
(Bo/Cui)