2021-06-28 10:00CMG
"สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สีแดงของจีน" คือ สถานที่ที่เคยสร้างคุณูปการสำคัญต่อการปฏิวัติและก่อตั้งประเทศจีนใหม่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2021 นี้ ท้องที่ต่างๆของจีนได้เกิดกระแสนิยม "การท่องเที่ยวสีแดง" เพื่อเข้าเยี่ยมชมและเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สีแดงเหล่านี้
นายสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีนในฐานะเลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ให้ความสำคัญต่อ "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สีแดง" ซึ่งมีบทบาทส่งเสริม "การท่องเที่ยวสีแดง" ในจีน
ปธน.สี จิ้นผิงเคยเขียนบทความระบุว่า “ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเดินทางไปตรวจงานและศึกษาค้นคว้าในพื้นที่ที่เคยมีบทบาทสำคัญต่อการปฏิวัติจีนในอดีต ข้าพเจ้ามักจะไปแสดงความเคารพต่ออนุสรณ์สถานรำลึกประวัติศาสตร์แห่งการปฏิวัติ ทั้งนี้ก็เพื่อเตือนสหายทุกคนในพรรคอย่าได้ลืมว่า “อำนาจการปกครองสีแดง” มาได้อย่างไร ประเทศจีนใหม่มาได้อย่างไร ชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุขในปัจจุบันเกิดขึ้นได้อย่างไร ตลอดจนเพื่อประกาศว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะชูธงสีแดงไว้สูงอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เดินบนหนทางสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์ของจีนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ และขับเคลื่อนภารกิจที่บุกเบิกพัฒนาโดยบรรดาสหายรุ่นอาวุโสให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง"
นับตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมการกลางชุดใหม่ในที่ประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 นายสี จิ้นผิงในฐานะผู้นำสูงสุดรุ่นที่ 5 ของประเทศจีนใหม่ได้เดินทางลงพื้นที่โดยทิ้ง "รอยเท้าสีแดง" ไว้ทั่วแผ่นดินจีน เช่น ฐานปฏิวัติเก่าหมิ่นซีทางภาคตะวันตกของมณฑลฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน)
เมืองหลงเหยียนและเมืองซานหมิงใน “หมิ่นซี – ภาคตะวันตกของมณฑลฝูเจี้ยน”เป็นพื้นที่หลักของฐานปฏิวัติเก่าของกองกำลังส่วนกลางในอดีต ในช่วงการปฏิวัติที่ดิน มีลูกหลานชาวหมิ่นซีเข้าร่วมกองทัพแดงมากกว่า 100,000 คน และกว่า 26,000 คนได้เข้าร่วมการเดินทัพทางไกล พวกเขาเคยร่วมภารกิจอันหนักหน่วงมากมาย เช่น บุกเบิกทางให้กองทัพ เป็นหน่วยกองหลังเพื่อสกัดการไล่ตามของศัตรู ได้สู้รบกับศัตรูอย่างดุเดือดที่แม่น้ำเซียงเจียง ลุยข้ามแม่น้ำอูเจียง ตลอดจนบุกยึดสะพานหลูติ้งเฉียวจากข้าศึก เป็นต้น ระหว่างนี้มีลูกหลานชาวหมิ่นซีสละชีพมากกว่า 24,000 คน เฉลี่ยแล้วมีลูกหลานชาวหมิ่นซีเสียชีวิตทุกครึ่งกิโลเมตรเลยทีเดียว
การสู้รบเซียงเจียงเริ่มขึ้นเมื่อปลาย ค.ศ. 1934 เพื่อปกป้องกำลังหลักของกองทัพแดงข้ามแม่น้ำเซียงเจียง กองพลรักษาการณ์ 34 ซึ่งประกอบด้วยทหารที่เป็นลูกหลานชาวเมืองหลงเหยียนและเมืองซานหมิงเป็นส่วนใหญ่กว่า 6,000 นาย เสียชีวิตเกือบทั้งหมด ชื่อของพวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันได้
ซู จวิ้นไฉ ผู้อำนวยการสำนักงานศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์พรรคและพงศาวดารท้องถิ่นของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเมืองหลงเหยียนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในระเบียงรายชื่อวีรชนผู้พลีชีพในการสู้รบแม่น้ำเซียงเจียงในอำเภอซิงอันเขตกว่างซี(กวางสี) พบว่ามีชื่อวีรชนชาวฉางทิงกว่า 400 คน ในจำนวนนี้มีวีรชนเพียง 23 คนเท่านั้นที่มีลูกหลานสืบสกุล โดย 6 คนเป็นลูกแท้ๆ ส่วนที่เหลือเป็นลูกของญาติที่รับมาอยู่ภายใต้ชื่อของพวกเขา
หมิ่นซีมีความสำคัญเป็นพิเศษในประวัติศาสตร์นับศตวรรษของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในตำบลกู่เถียน อำเภอซ่างหาง สถานที่จัดประชุมกู่เถียนในอดีตซึ่งมีผนังสีขาวและกระเบื้องมุงหลังคาสีน้ำเงินนั้น เปี่ยมด้วยความเก่าแก่เคร่งขรึม เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1929 การประชุมครั้งที่ 9 ของผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำกองทัพแดงที่ 4 ได้จัดขึ้นที่เมืองกู่เถียน ที่ประชุมได้กำหนดหลักการ "การสร้างสรรค์พรรคด้วยแนวคิดและการสร้างสรรค์กองทัพด้วยการเมือง" ซึ่งต่อมาได้ชี้นำการปฏิวัติจีนก้าวจากชัยชนะสู่ชัยชนะครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง
ที่อำเภอฉางทิงในหมิ่นซี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "เซี่ยงไฮ้น้อยสีแดง" กองทัพแดงเริ่มมีเครื่องแบบทหารอย่างเป็นเอกภาพเป็นครั้งแรก และมีโรงงานหมวกสานไม้ไผ่ โรงงานผลิตเครื่องนอนและเสื้อผ้า โรงพิมพ์ และโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นของตัวเอง ส่วนอำเภอหนิงฮว่า เมืองซานหมิงในหมิ่นซี เคยเป็นฐานเสบียงและฐานส่งกำลังบำรุงทหารที่สำคัญของกองทัพแดงกลาง
หมิ่นซีซึ่งถือเป็นดินแดนสีแดงแห่งนี้ เป็นแหล่งที่นายสี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีจีนคุ้นเคยผูกพัน
ในระหว่างการประชุมงานด้านการเมืองของทั้งกองทัพจีนเมื่อปี 2014 ณ เมืองกู่เถียน มณฑลฝูเจี้ยน นายสี จิ้นผิงกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจขณะพูดคุยสนทนากับตัวแทนของทหารกองทัพแดงเก่าและญาติของทหารผู้พลีชีพว่า "ข้าพเจ้าคุ้นเคยหมิ่นซีมาก ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของฐานปฏิวัติส่วนกลาง มีคุณูปการสำคัญที่มิอาจทดแทนได้ต่อการปลดปล่อยประเทศ การก่อตั้งประเทศจีนใหม่ การสร้างสรรค์พรรคฯ และการสร้างสรรค์กองทัพ" "เราต้องไม่ลืมฐานปฏิวัติเก่า และไม่ลืมประชาชนในฐานปฏิวัติเก่าตลอดกาล"
เจิง ฮั่นฮุย ผู้อำนวยการหอรำลึกการประชุมกู่เถียนจำได้อย่างชัดเจนว่า ระหว่างการประชุม เลขาธิการใหญ่สี จิ้นผิงได้กลายเป็น "ผู้บรรยายพิเศษ" ขณะเยี่ยมชมหอรำลึกและสถานที่จัดการประชุมกู่เถียนเก่า
เจิง ฮั่นฮุยกล่าวว่า “ท่านเลขาธิการใหญ่คุ้นเคยกับกระดานนิทรรศการ โบราณวัตถุ ตลอดจนเรื่องราวเบื้องหลังภายในหอรำลึกเป็นอย่างมาก ได้เล่าเรื่องการสู้รบนองเลือดของลูกหลานหมิ่นซีกว่า 6,000 คนที่บริเวณแม่น้ำเซียงเจียงอย่างดึงดูดใจ ซึ่งถือเป็นการให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์พรรคอย่างมีชีวิตชีวาแก่บรรดาสหายที่ได้รับฟังการบรรยายจากท่านในวันนั้น"
ในช่วงปีหลังๆมานี้ นายสี จิ้นผิงได้กล่าวถึงเรื่องราวการปฏิวัติในหมิ่นซีด้วยความซาบซึ้งใจในโอกาสต่างๆ หลายต่อหลายครั้ง
"ถ้าต้องการให้ธงแดงโบกสะบัดหมื่นชั่วอายุคน สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความรู้แก่คนรุ่นหลัง" นี่คือกลอนคู่ที่ติดไว้ที่ประตูบ้านของจง อี้หลง ชายวัย 93 ปีในหมู่บ้านฉางเคอโถว ตำบลหนานซาน อำเภอฉางทิง
ศึกสันเขาซงเหมาหลิงที่แนวรอยต่อเหลียนเฉิงและฉางทิงในเมืองหลงเหยียนเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 นั้น เป็นการสู้รบที่ดุเดือดนองเลือดที่สุดก่อนการเดินทัพทางไกลของกองทัพแดง ทหารกองทัพแดงนับหมื่นนายยืนหยัดรักษาที่มั่นในซงเหมาหลิงเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน มีทหารหลายพันคนเสียชีวิต แลกมาด้วยเวลาอันมีค่าในการเคลื่อนย้ายทัพของกำลังหลักแห่งกองทัพแดงส่วนกลาง ตั้งแต่ทศวรรษ 1950 แห่งศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา จง อี้หลงร่วมกับชาวบ้านค้นหาศพของทหารกองทัพแดงที่พลีชีพในการสู้รบที่ซงเหมาหลิงด้วยความสมัครใจ ได้พบร่างวีรบุรุษมากกว่า 3,000 ศพในป่าเขา และได้ทำการฝังอย่างเหมาะสม เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่จง อี้หลงไปแสดงความเคารพต่อวีรชนผู้พลีชีพทุกปี ทั้งยังพยายามทุกวิถีทางเพื่อรวบรวมเรื่องราวชีวิตของเหล่าผู้เสียสละที่ไม่เป็นที่รู้จักเหล่านี้
ปี 2016 ด้วยการสนับสนุนจากคณะกรรมการพรรคและรัฐบาลท้องถิ่น จง อี้หลงได้ดัดแปลงบ้านตนเองให้เป็นหอจัดแสดงวัฒนธรรมสีแดง โดยนำสิ่งของทางวัฒนธรรมสีแดงที่รวบรวมไว้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา รายชื่อทหารที่เสียชีวิตในการต่อสู้ซงเหมาหลิง ตลอดจนชีวประวัติและโปรไฟล์ของพวกเขามาตั้งโชว์ แต่ละปีได้ดึงดูดผู้คนหลายพันเข้าเยี่ยมชม แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้วและสุขภาพอ่อนแอ แต่จง อี้หลงก็ยังคงยืนหยัดที่จะบรรยายแนะนำเรื่องราวของกองทัพแดงแก่นักเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ตลอดจนคณะเยี่ยมชมจากพรรค รัฐบาล และอื่นๆทุกปี
“ข้าพเจ้าต้องการให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากยิ่งขึ้นรับรู้ว่าชีวิตที่ดีในปัจจุบันนั้น แลกมาและได้รับการปกป้องด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของวีรชนผู้พลีชีพเพื่อการปฏิวัติ” จง อี้หลงกล่าวว่า เพื่อวันนี้ พวกเขารู้แก่ใจในปีนั้นว่าพวกเขาอาจต้องตายแน่ๆ แต่ก็ยังคงยืนหยัดเข้าร่วมการปฏิวัติ เราต้องไม่ลืมพวกเขา
YIM/LU