วันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตามด้วย นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าวสุนทรพจน์ป้ายสีความผิดแก่จีนว่า “กีดกัน” เสรีภาพทางศาสนา และ “คุกคาม” สิทธิมนุษยชน พวกเขาในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ คำพูดเหล่านี้ไม่เป็นความจริง กลับผิดเป็นถูก ใช้ศาสนาและสิทธิมนุษยชนเป็นฉากบังหน้า เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างรุนแรง มุ่งสร้างความแตกแยกและความวุ่นวายในจีน อันมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ
หลายปีมานี้ เจ้าหน้าที่ทางการทูตหลายประเทศที่เคยไปเยือนเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์และเขตปกครองตนเองทิเบตต่างเห็นว่า รัฐบาลจีนได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะของชนกลุ่มน้อย เมื่อเร็ว ๆ นี้ เอกอัครราชทูต 37 ประเทศประจำเจนีวา รวมถึง รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย และปากีสถาน ได้ร่วมกันส่งสารถึงประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อประเมินผลงานการพัฒนาสิทธิมนุษยชนและการต่อต้านการก่อการร้ายของซินเจียงในเชิงบวก
ก่อนหน้านี้ ผู้นำจีนและสหรัฐฯ ได้พบเจรจาที่เมืองโอซากาของญี่ปุ่น โดยเห็นพ้องต้องกันที่จะผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่เน้นการประสานงาน ความร่วมมือ และความมั่นคง อีกทั้งยังเห็นพ้องต้องกันว่า จะเริ่มการหารือทางเศรษฐกิจและการค้ารอบใหม่บนพื้นฐานความเสมอภาพและเคารพซึ่งกันและกัน
หลายวันมานี้ บุคคลแวดวงวิชาการ การทูต การทหาร ตลอดจนการพาณิชย์ ได้ร่วมกันประกาศจดหมายเปิดเผยที่ส่งถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรัฐสภาสหรัฐฯ โดยระบุว่า การที่สหรัฐฯ ถือจีนเป็นศัตรูนั้นกลับผิดเป็นถูก สหรัฐฯ ไม่มี “เจตจำนงร่วมกันที่จะต่อต้านจีนในทุกด้าน” บนพื้นฐานดังกล่าวนี้ การกระทำของคนบางคนในสหรัฐฯ เช่น นายไมค์ เพนซ์ และนายไมค์ ปอมเปโอ ที่อ้างศาสนาเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของจีนนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการฝ่าฝืนความเข้าใจร่วมกันของผู้นำทั้งสองประเทศ หากยังเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของประชาชนอีกด้วย ซึ่งไม่ว่าพวกเขาจะมีความมุ่งหมายใดล้วนจะไม่ประสบผลสำเร็จ
(Tim/zheng)