วันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ.2020 นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเน้นย้ำอีกครั้งว่า จีนจะยืนหยัดการปกป้องและส่งเสริมโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ต่อไป
ปธน.สี จิ้นผิงเป็นประธานการประชุมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการผลักดันการพัฒนาแบบองค์รวมของพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี (ประกอบด้วยนครเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจ้อเจียง เจียงซูและอันฮุย)ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเหอเฝย มณฑลอันฮุย โดยได้กล่าวคำปราครัยสำคัญเพื่อให้นโยบายชี้นำการพัฒนาเศรษฐกิจของเขตนี้ ซึ่งรวมถึงนโยบายการเร่งยกระดับการปฏิรูปและเปิดประเทศด้วย
ปธน.สี จิ้นผิงชี้ว่า ในช่วงหลังๆ มานี้ กระบวนการโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจของโลกเผชิญแรงบีบอัดที่สวนกระแส ยิ่งเป็นเช่นนี้จีนยิ่งต้องชูธงแห่งการสร้างประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน ปกป้องและนำพากระแสโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ปธน.สี จิ้นผิงกล่าวด้วยว่า แต่ไหนแต่ไรมา พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีได้เป็นแนวหน้าการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนมาโดยตลอด จึงต้องปรับปรุงเงื่อนไขการประกอบธุรกิจให้ดีขึ้นตามมาตรฐานสากล ดึงดูดบุคลากรและบริษัททั้งจีนและต่างประเทศให้มาตั้งรกรากด้วยเงื่อนไขการพัฒนาที่เปิดกว้าง บริการดี มีความคิดสร้างสรรค์และทรงประสิทธิภาพ ผลักดันการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน พยายามพัฒนาให้เป็นสะพานเชื่อมโยงตลาดโลกกับตลาดในประเทศ
ปัจจุบัน “การโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ”กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก ด้วยผลกระทบจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจหมายเลข 1 ทำให้แนวคิดกีดกันทางการค้าและเอกภาคีนิยมมีการแผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง ข้อพิพาทด้านการค้าและการลงทุนทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การเงินและโครงสร้างอุตสาหกรรมโลกถูกกระทบกระเทือน ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การปรับปรุงระบบบริหารจัดการโลกให้ดีขึ้นอย่างไรนั้น ได้กลายเป็นประเด็นร่วมสมัยที่ต้องหาคำตอบ เศรษฐกิจโลกเผชิญกับการเลือกหนทางพัฒนาครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง มนุษยชาติยืนอยู่กลางสี่แยกครั้งใหม่ การก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไรนั้น เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของนานาประเทศ ซึ่งกำลังทดสอบสติปัญญาและคุณธรรมของมนุษยชาติ
คำปราศรัยดังกล่าวของผู้นำสูงสุดของจีนนั้น สะท้อนให้เห็นอีกครั้งว่า ประตูที่เปิดกว้างของจีนจะไม่มีวันปิด และมีแต่จะเปิดกว้างยิ่งขึ้น จีนจะยืนหยัดการผลักดันโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ในช่วงปีหลัง ๆ มานี้ ปธน.สี จิ้นผิงได้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างเด็ดเดี่ยวของจีน ที่มีต่อเศรษฐกิจโลกแบบเปิดกว้างหลายครั้ง อาทิ ขณะกล่าวคำปราศรัยในที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.2019 นั้น ปธน.สี จิ้นผิงได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นว่า จีนจะใช้มาตรการ 5 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย 1)การยกระดับเปิดตลาดให้กว้างยิ่งขึ้น 2)เพิ่มการนำเข้าอย่างแข็งขัน 3)ปรับปรุงเงื่อนไขการประกอบธุรกิจให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4)ใช้มาตรฐานเดียวอย่างทั่วด้าน และ 5)การผลักดันการเจรจาทางการค้าและเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นการใช้ปฏิบัติการอย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนการค้าเสรีและการโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบของจีนในฐานะประเทศใหญ่ของโลก
ปฏิบัติการขยายการเปิดประเทศของจีนมีความหนักแน่นและทรงพลัง ตามสถิติ ถึงสิ้นปีค.ศ. 2019 มี 160 กว่าประเทศและองค์การระหว่างประเทศได้ลงนามเอกสารความร่วมมือ“หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”กับจีน จำนวนสมาชิกของธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชียได้เพิ่มขึ้นถึง 102 สมาชิก และมีการเดินรถไฟด่วนขนส่งสินค้าจีน-ยุโรปรวมกว่า 20,000 เที่ยว เป็นต้น “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”ได้กลายเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จีนได้ประกาศ“แผนแม่บทว่าด้วยการสร้างเมืองท่าการค้าเสรีไหหลำ”นับเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า จีนเริ่มการพัฒนาเมืองท่าการค้าเสรีไหหลำอย่างทั่วด้านแล้ว โครงการนี้ถือเป็นมาตรการปฏิรูปและเปิดประเทศที่สำคัญยิ่งของจีน ซึ่งปธน.สี จิ้นผิงเป็นผู้ริเริ่ม วางแผนและผลักดันด้วยตัวเอง บ่งบอกให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและความกล้าหาญของจีนในการขยายการเปิดประเทศและผลักดันการโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ
ตามแผนแม่บทดังกล่าว ขอบเขตการสร้างเมืองท่าการค้าเสรีไหหลำนั้นครอบคลุมพี้นที่ทั่วทั้งเกาะ ถึงปีค.ศ. 2025 ไหหลำจะเสร็จสิ้นการสร้างระบบการบริหารจัดการและนโยบายเกี่ยวกับเมืองท่าการค้าเสรี ที่ถือความอิสระเสรีและความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนเป็นจุดสำคัญขั้นพื้นฐาน
ถึงปีค.ศ. 2035 ไหหลำจะกลายเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการเปิดกว้างยิ่งแห่งใหม่ของจีน และถึงกลางศตวรรษที่ 21 ไหหลำจะได้รับการพัฒนาเป็นเมืองท่าการค้าเสรีในระดับสูงและมีอิทธิพลมากในโลกอย่างทั่วด้าน
นักวิเคราะห์เห็นว่า การขยายการเปิดประเทศของจีน ย่อมจะนำมาซึ่งโอกาสแห่งการพัฒนาแก่ประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย เชื่อว่า วงการธุรกิจและฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทยจะเฝ้าติดตามโอกาสด้านการค้าและการลงทุนจากมาตรการผลักดันการสร้างเมืองท่าการค้าเสรีไหหลำและอื่นๆ ของจีน
ไทยเป็นประเทศที่ยืนหยัดการเปิดประเทศมาโดยตลอด องค์เศรษฐกิจแบบเปิดกว้าง โดยเฉพาะการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศของไทยนั้น มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจรวมของไทย การที่จีนกับไทยร่วมมือกันยืนหยัดส่งเสริมการค้าเสรีและการโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจของโลกนั้น ย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์และความผาสุกของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างแน่นอน
Yim/Lu