กำลังของลัทธิก่อการร้ายในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มฝ่ายขวาสุดขั้วที่พุ่งสูงขึ้น กลายเป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามใหญ่ที่สหรัฐฯกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งในปี 2019 สหรัฐฯมีผู้เสียชีวิตจากลัทธิก่อการร้ายภายในประเทศจำนวน 48 ราย ในจำนวนดังกล่าว เป็นผู้เสียชีวิตจากลัทธิชาตินิยมของคนผิวขาวจำนวน 39 ราย ตัวเลขดังกล่าวแม้จะมีการปรับลดลงเล็กน้อยในปี 2020 แต่เหตุการณ์ก่อการร้ายภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา ในจำนวนดังกล่าว 2 ใน 3 เป็นฝีมือกลุ่มลัทธิฝ่ายขวาสุดขั้ว ซึ่งกลุ่มลัทธิฝ่ายขวาสุดขั้วที่นับวันฮึกเหิมในสังคมสหรัฐฯช่วงปีหลังๆนี้ แยกไม่ออกจากสงคราม “ต่อต้านการก่อการร้าย” ที่สหรัฐฯก่อขึ้นอย่างไม่อั้น
หลังเหตุการณ์ “11 กันยาฯ” รัฐบาลสหรัฐฯทุ่มกำลังและทรัพยากรก้อนมหึมาใช้ในสงคราม “ต่อต้านการก่อการร้าย” ในต่างแดน ซึ่งมีส่วนทำให้เศรษฐกิจพลเรือนภายในประเทศพังทลายลงในระดับหนึ่ง พร้อมกันนี้ สงคราม “ต่อต้านการก่อการร้าย” ในต่างแดนทำให้ชาวผิวขาวในสหรัฐฯมีอคติต่อชาวมุสลิมมากขึ้น ภายใต้การหนุนของกลุ่มลัทธิฝ่ายขวาสุดขั้ว จึงเป็นชนวนเหตุเกิดการปะทะทางเชื้อชาติและความปั่นปวนของสังคมขั้นร้ายแรง
ผู้ที่ได้ประโยชน์จากสงครามดังกล่าวมีเพียงรายเดียว คือ ตัวผนวกการทหาร-อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมแนวคิด การเมือง และวัฒนธรรมของสหรัฐฯ ตลอดจนเอื้อประโยชน์ต่อลัทธิก่อการร้ายแบบขวาสุดให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
(YIM/LING/CAI)