เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีจีนกล่าวขณะพบปะกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา่ว่า จีนกับสหรัฐฯ ต้องยืนหยัดในการเป็นมิตรและเป็นหุ้นส่วนกัน สร้างความสัมพันธ์ที่เคารพซึ่งกันและกัน เอื้อประโยชน์ให้แก่กันด้วย
บทความดังกล่าวระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้ก้าวข้ามความสัมพันธ์แบบดำเนินการในชั้นเดียว เช่น ทางด้านเศรษฐกิจและการค้า และไ้ด้ก้าวข้ามความสัมพันธ์ทางการทูตที่เน้นฮาร์ดพาวเวอร์ ตอนนี้ กำลังเข้าสู่ช่วงที่เน้นถึงซอฟพาวเวอร์ด้านวัฒนธรรมและระบบสังคม
แต่ไหนแต่ไรมา วงการการเมืองและวงการวิชาการของสหรัฐฯ ได้ใช้ท่วงทำนองที่ว่า การเติบโตของจีนย่อมจะทำให้สหรัฐฯ ถอดถอย ประโคมประเด็นที่ว่า "ทำลายซึ่งกันและกัน" ผลที่ได้รับจากการนี้ก็คือ เวลาติดต่อกับจีนจะเกิดการคัดค้านและสงสัยขึ้นมา
เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับว่า การตกลงเชิงยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด เกิดขึ้นมาจากการตีความของวงการสื่อมวลชนและวัฒนธรรมผิดจาก เจตนารมณ์ของประชาชนและนักการเมือง จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาอย่างไม่ราบรื่น ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เน้นรูปแบบทางการทูตเป็นหลัก และการติดต่อกันระหว่างประชาชนโดยรงนั้น มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เราจึงได้สรุปรูปแบบทางการทูตนี้ว่าเป็น "การทูตสาธารณะ"
ตามกำหนดการเยือนของรองประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะเดินทางไปยังมลรัฐไอโอวา เพื่อเยี่ยมเจ้าของบ้านพักที่เคยพบเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ จะพบปะกับคณะนักเรียนและนักศึกษาอเมริกันที่ศึกษาภาษาจีนที่ลอส เเอนเจลิส ทั้งจะชมการแข่งขันเอ็นบีเอร่วมกันกับของนายโจเซฟ ไปเเดนด้วย
บทวิเคราะห์ยังระบุว่า การเดินทางดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของความหมายของการทูตสาธารณะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่ประชาชนอเมริกันอยากเห็นอยากพบอยากฟังกัน แต่ในอีกด้านหนึ่งของข่าวสารดังกล่าว คือภาพพจน์ของจีนที่มีความยิ่งใหญ่ และสะท้อนความปรารถนาดีที่ทั้งสองประเทศมีต่อกัน
Ton/Lei