ช่วงที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ พากันขึ้นราคาบัตรเข้าชม บางแห่งขึ้นราคาเป็นเท่าตัว ซึ่งไม่สมเหตุสมผล ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความเดือดร้อนเท่านั้น หากยังทำให้ห่วงโซ่ธุรกิจการท่องเที่ยวเสียหายทั้งห่วงด้วย การส่งเสริมการท่องเที่ยว ควรมุ่งบริการมหาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจ แทนที่จะหารายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมเพียงอย่างเดียว
บัตรเข้าชมขึ้นราคาครั้งแล้วครั้งเล่า นักท่องเที่ยวบ่น "ไม่ไหว"
"บัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นับวันยิ่งแพงขึ้น แทบจะเป็นรายจ่ายใหญ่ที่สุดในการเดินทางท่องเที่ยว"นายหวัง จวินหลิน จากสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งกล่าวเช่นนี้ เขาระบุว่า สมัยเรียนมหาวิทยาลัย บัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปราคา 30-40 หยวน และแพงที่สุดราคา 70-80 หยวน น้อยมากที่ราคาเกิน 100 หยวน แต่เวลานี้ โดยทั่วไปมีราคากว่า 100 หยวน บางแห่งราคาแพงถึง 200 หยวน เนื่องจากราคาของบัตรเข้าชมสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนสู้ราคาไม่ไหว จึงได้แต่เพียงเข้าชมบริเวณโดยรอบของสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น แล้วเดินจากไป ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการรายงานผลการสำรวจฉบับหนึ่ง ระบุว่า หากดูจากต้นทุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ รายจ่ายสำหรับบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวคิดเป็นรายจ่ายสูงที่สุดของการท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 21.92 รองลงมาคือ รายจ่ายสำหรับการเดินทาง การซื้อของ ที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม
ควรก้าวข้าม "เศรษฐกิจบัตรเข้าชม" ไปยัง "เศรษฐกิจการท่องเที่ยว"
เศรษฐกิจการท่องเที่ยวเป็นกิจการที่มีการกระตุ้นมาก สถิติระบุว่า รายได้โดยตรงจำนวน 1 หยวนของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวจะสามารถนำมาซึ่งรายได้ทางอ้อมจำนวน 6.8 หยวนได้ รายได้จากการท่องเที่ยวไม่เพียงแต่เป็นรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมเท่านั้น แต่มากกว่านั้นคือจะกระตุ้นคณะนักท่องเที่ยว กิจการอาหารและเครื่องดื่ม กิจการโรงแรม การคมนาคมขนส่ง และกิจการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้พัฒนาก้าวหน้าด้วย
ประเทศแหล่งท่องเที่ยวรายใหญ่ในยุโรปและอเมริกาต่างใช้นโยบายให้เงินสนับสนุนแก่สถานที่ท่องเที่ยว โดยกำหนดราคาบัตรเข้าชมในราคาถูก หรือ ไม่เก็บบัตรเข้าชม ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้น และเชิดชูวัฒนธรรมประจำชาติ มากกว่าหารายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชม
จีนก็มีสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งกำหนดราคาบัตรเข้าชมในราคาถูกหรือไม่เก็บบัตรเข้าชม ปี 2003 เมืองหางโจว ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้กำหนดนโยบาย "เปิดทะเลสาบซีหูให้เข้าชมฟรี" จากนั้นเป็นต้นมา แม้สูญเสียรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมคิดเป็นมูลค่า 25.30 ล้านหยวนต่อปีก็ตาม แต่การไม่เก็บค่าเข้าชมมีส่วนกระตุ้นร้านค้าต่างๆ ในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวทะเลสาบซีหูรวมถึงกิจการที่เกี่ยวข้องให้เจริญเติบโต ส่งผลให้สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้กลับมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านหยวนต่อปี รวมถึงช่วยให้กิจการท่องเที่ยวของเมืองหางโจวมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านหยวนด้วย
(YING/LING)