วันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ พลเอกเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีเมียนมาร์เริ่มเยือนยุโรปเป็นครั้งแรกหลังจากดำรงตำแหน่ง โดยจะเดินทางไปเยือนนอร์เวย์ ฟินแลนด์ ออสเตรีย เบลเยียม และอิตาลีอย่างเป็นทางการ และจะพบปะเจรจากับผู้นำประเทศเหล่านี้ พร้อมทั้งจัดการประชุมระดับสูงกับสหภาพยุโรปด้วย

การเยือนยุโรปของพลเอกเต็ง เส่งครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อโน้มน้าวให้ประเทศยุโรปผ่อนคลายหรือยกเลิกการคว่ำบาตร ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่เมียนมาร์ในการพัฒนาและดำเนินการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สภาพสิทธิมนุษยชน การปะทะระหว่างกองทหารรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธก็เป็นประเด็นสำคัญในการเจรจา

ไม่นานมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมาร์กับสหภาพยุโรปได้รับการปรับปรุงดีขึ้น เมียนมาร์เป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์สำคัญ มีทรัพยากรมากมาย เป็นภูมิภาคที่ยังไม่ได้รับการบุกเบิกพัฒนาและการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเหลืออยู่ไม่กี่แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วเอเชีย ทั้งนี้ล้วนเป็นข้อดีที่ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ และสหภายยุโรปเองก็หวังจะมีส่วนในการปฏิรูปทางการเมืองของเมียนมาร์ แต่มีนักวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ยืนยันได้ว่า สหภาพยุโรปควรจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเมียนมาร์อย่างรอบด้าน เพราะว่า ก่อนอื่น แนวโน้มของเศรษฐกิจยุโรปในปัจจุบันยังไม่ชัดเจน รัฐบาลของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจำนวนหนึ่งยังเผชิญกับหนี้สินจำนวนมาก การที่จะมีกำลังในการให้ความช่วยเหลือขนานใหญ่หรือมีการลงทุนในเร็วๆนี้ได้หรือไม่นั้น ยังต้องติดตามต่อไป อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าประชาคมโลกตั้งความหวังไว้สูงในการปฏิรูปและการพัฒนาของเมียนมาร์ แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพอ่อนแอของเมียนมาร์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สามารถทำได้สำเร็จในระยะสั้นๆ นอกจากนี้ ปัญหาการปะทะระหว่างกองทหารรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่ก็ยังไม่สามารถได้รับการแก้ไขในเร็ววัน บวกกับปัญหาชนกลุ่มน้อยที่สลับซับซ้อน ต่างก็เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนาของเมียนมาร์

ดังนั้น ในแถลงการณ์ที่สหภาพยุโรปประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรส่วนหนึ่งต่อเมียนมาร์ ยังระบุข้อความว่า สหภาพยุโรปจะประเมินและติดตามสถานการณ์เมียนมาร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมในขั้นต่อไป หากข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปได้รับการตอบสนอง สหภาพยุโรปก็จะยกเลิกการคว่ำบาตรเมียนมาร์อย่างสิ้นเชิงในเร็ววัน ดังนั้น การที่ความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมาร์กับสหภาพยุโรปจะพัฒนาไปถึงขนาดไหนนั้น ยังต้องติดตามต่อไป