ผู้นำสองประเทศประกาศแถลงการณ์ร่วมที่ทำเนียบรัฐบาลของสหรัฐฯ หลังการพบปะในวันเดียวกัน โดยเน้นว่า พวกเขามุ่งเปิดขั้นตอนใหม่ของความสัมพันธ์สองประเทศบนพื้นฐานที่เคารพกันและอำนวยประโยชน์ร่วมกัน ส่วนความสัมพันธ์ฉันหุ้นส่วนจะช่วยให้สองประเทศสร้างกลไกในความร่วมมือในแวดวงต่างๆ เช่น การเมือง การต่างประเทศ เศรษฐกิจและการค้า วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การศึกษาและการอบรม สภาพแวดล้อมและอนามัย ปัญหาที่ตกค้างจากสงคราม การป้องกันประเทศและความมั่นคง สิทธิมนุษย์ วัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว เป็นต้น
นายเจือง เติ๊น ซาง เป็นประมุขเวียดนามที่เดินทางเยือนสหรัฐฯ คนที่สองตั้งแต่ความสัมพันธ์สองประเทศเป็นไปอย่างปกติเมื่อปี 1995 นายโอบามากล่าวว่า การเยือนครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า ความสัมพันธ์สองประเทศได้รับผลคืบหน้าและมั่นคงยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะก้าวหน้าต่อไปให้สมบูรณ์ขึ้นและพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น พร้อมยังกล่าวถึงการตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือทีพีพี ซึ่งมีสหรัฐฯ เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และประเทศอื่นๆ รวม 12 ประเทศเศรษฐกิจเข้าร่วม และระบุว่า สหรัฐฯ และเวียดนามจะพยายามช่วยให้ทีพีพีประสบความสำเร็จก่อนปลายปีนี้
นายเจือง เติ๊น ซาง กล่าวว่า ได้ปรึกษากับประธานาธิบดีโอบามาอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผย มีประโยชน์และมีนัยเชิงสร้างสรรค์ เมื่อพิจารณาถึงผลคืบหน้าของความสัมพันธ์ทวิภาคีในเวลา 18 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันจึงเป็นช่วงเวลาที่สร้างความสัมพันธ์ฉันหุ้นส่วนอย่างรอบด้านเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในแวดวงต่างๆ ของสองประเทศต่อไป
ผู้นำสองประเทศยังได้เจรจาเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้และข้อพิพาทของภูมิภาคอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก นายโอบามาชื่นชมเวียดนามมากที่สัญญาจะกำหนดระเบียบการกระทำโดยกลไกการประชุมอาเซียนและเอเชียตะวันออก เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องโดยสันติวิธีและยุติธรรม
นอกจากนี้ นายโอบามายังกดดันเวียดนามแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน แต่นายเจือง เติ๊น ซาง กล่าวว่า สองประเทศยังมีข้อขัดแย้งทางความคิดในปัญหานี้อยู่
Yim/Chu