คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ความเป็นมาของชุดแต่งงานสีขาวนั้นเกิดขึ้นจากงานอภอเษกสมรสของ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย (Queen Victori ) a และ เจ้าชายอัลเบิร์ต )Prince Albert ) ในวันที่ 10 เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1840 ซึ่งสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงเลือกชุดเจ้าสาวสีขาว และ เจ้าชายอัลเบิร์ตสวมชุดเจ้าบ่าวสีต่าง ซึ่งตั้งแต่นั้นมาชุดเจ้าสาวสีขาวก็เป็นที่นิยม และ มีอิทธิพลมาเรื่อยๆ ดั่งในหนังสือ Godey's Lady's Book ปี 1849 ได้ตีพิมพ์ข้อความไว้ว่า "เจ้าสาวส่วนใหญ่ในยุคสมัยแรกๆนั้น มีความสนใจ และ มีความชื่นชอบในชุดแต่งงานสีขาว เพราะเชื่อกันว่าสีขาวเป็นสีที่บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ และ ความเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดี งดงาม และชุดแต่งงานสีขาวก็เป็นที่ยอมนับตั้งแต่นั้นมา"
อันที่จริงแล้ว การสวมชุดแต่งงานสีขาวมาจากประเทศยุโรปโบราณ กระโปรงสีขาวแบบหางยาวนั้น เมื่อก่อนเป็นเสื้อผ้าที่ใช้เข้าร่วมพิธีของศาสนาคริสต์ สมัยโบราณประเทศยุโรปบางประเทศศาสนาและการเมืองหลอมรวมเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงไปแต่งงานที่โบสถ์และรับพร อย่างนี้ถือเป็นการสมรสที่ชอบด้วยกฏหมาย ขณะเดียวกัน เจ้าสาวต้องสวมเสื้อผ้าหรือกระโปรงสีขาวเพื่อแสดงความจริงใจและความบริสุทธ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่ 1820 เป็นต้นมา ชุดแต่งงานสีขาวได้กลายเป็นชุดแต่งงานสากลที่ได้รับความนิยมของประเทศส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ยังมีเจ้าสาวบางพื้นทีที่นิยมจะส่วมใส่ชุดเดรสหรือชุดประจำท้องถิ่นแทน เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นหรือประเพณีของพวกเธอ อย่างไรก็ตามชุดแต่งงานก็เป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่มีความนิยมสืบต่อกัน มาเป็นเวลานาน
ถึงแม้ว่าตลอดชีวิตของผู้หญิงส่วนใหญ่จะสวมชุดแต่งงานสีขาวแค่วันเดียว แต่วันนี้กลับเป็นวันที่ประทับใจที่สุดในความทรงจำผู้หญิง ฉะนั้น ในประเทศอังกฤษ ผู้หญิส่วนใหญ่จะเก็บชุดแต่งงานของตนไว้ตลอดชีวิต เมื่อถึงลูกสาวหรือหลานสาวแต่งงาน จะเอามาให้เจ้าสาวใช้ต่อ จึงทำให้ชุดแต่งงานมีความหมายและคุณค่ามากยิ่งขึ้น
In/ Zi
