วันที่ 18 มีนาคมนี้ ครม.มีมติประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ พ.ร.บ.มั่นคงฯในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่19 มีนาคมไปจนถึงวันที่ 30 เมษายนนี้ แทนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทั้งกลุ่ม กปปส. และกลุ่มอื่นๆ ตลอดจนเหตุร้ายแรงต่างๆ ลดระดับลงมากแล้ว อีกทั้งจะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศในเชิงธุรกิจการลงทุนและการท่องเที่ยว รวมถึงการดำรงชีพ การทำมาหากินของประชาชนโดยส่วนรวม ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าว รวมถึงพิจารณาจัดโครงสร้าง เพื่อการบริหารจัดการและการสนธิกำลังของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ตำรวจ ทหาร และพลเรือน เพื่อทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ที่จะกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรต่อไป

ก่อนหน้านี้ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าเเห่งประเทศไทย กล่าวถึงผลสำรวจสถานการณ์เศรษฐกิจไทยจากสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ พบว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมือง หากสามารถยุติความขัดแย้ง และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นในเร็วๆ นี้ได้ จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ที่ประมาณร้อยละ 3 แต่หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อ ก็อาจทำให้อัตราเติบโตของจีดีพีลดลงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0 หรืออาจติดลบด้วยซ้ำ

ล่าสุด จากการประเมินความเสียหายเบื้องต้นพบว่า เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหายไปเฉลี่ยเดือนละประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองคือ ธุรกิจท่องเที่ยว ผลสำรวจปรากฏว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลที่เดินทางไปไทยในช่วงปีที่ผ่านมาเหลือเพียง 27.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงมากถึงร้อยละ 50 จำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 40 และนักท่องเที่ยวเกาหลีลดลงร้อยละ 30

ขณะเดียวกัน ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับท่องที่ยว เช่น ธุรกิจขนส่งทางอากาศ ลดลงประมาณร้อยละ 15 ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ ลดลงประมาณร้อยละ 40 และอัตราการจองโรงแรมลดลงประมาณร้อยละ 30 นักวิเคราะห์เห็นว่า การยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาลจะช่วยสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปไทยเพิ่มขึ้น

ส่วนด้านการลงทุน การที่ยังไม่สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ขึ้นนั้นจะส่งผลกระทบต่อการอนุมัติโครงการที่ค้างอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง เนื่องจากภาคการผลิตส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และกระจายอยู่ในทุกภูมิภาค จึงเชื่อว่า ปีนี้การส่งออกของไทยจะสามารถขยายตัวตามเป้าหมาย

(YIN/cai)