เมื่อเร็วๆนี้ กรุงปักกิ่งเป็นเจ้าภาพได้จัดการประชุมที่มีผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก คือ การประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกหรือเอเปคครั้งที่ 22 ที่ประชุมเอเปคครั้งนี้ได้ผ่านเอกสารสองฉบับ ได้แก่ "แผนปักกิ่ง" และ "ร่วมสร้างความสัมพันธ์ฉันท์หุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิกที่มุ่งสู่อนาคต -- แถลการณ์ในโอกาสครบรอบ 25 ปีเอเปค" โดยได้ยืนยันทิศทาง เป้าหมาย และมาตรการในการพัฒนาเอเชีย-แปซิฟิกอย่างชัดเจนมากขึ้น นอกจากนั้น ที่ประชุมครั้งนี้ยังตกลงริเริ่มกระบวนการสร้างเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก และได้ผ่านโรดแมพเขตการค้าเสรี นับเป็นก้าวสำคัญที่มุ่งสู่เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจและความตั้งใจของสมาชิกเอเปค เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการเป็นหนึ่งเดียวกันของเศรษฐกิจภูมิภาค สมาชิกเอเปคเห็นพ้องต้องกันว่า การส่งเสริมการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานและการกระชับการเชื่อมโยงกันทุกด้านนั้น มีส่วนช่วยบุกเบิกแรงกระตุ้นใหม่เพื่อผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก สอดคล้องกับผลประโยชน์ร่วมกันและความต้องการด้านการพัฒนาในระยะยาวของสมาชิกต่างๆด้วย
ซึ่งประเทศอาเชียนที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็ย่อมได้รับผลเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น จีนยังประกาศจะตั้งกองทุนเส้นทางสายไหมทางทะเลโดยประเดิมเงินทุนจำนวน 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเดือนที่แล้ว ที่เมืองตงกว่านมณฑลกวางตุ้งของจีนยังจัดงานเอ็กซโปเส้นทางสายไหมทางทะลศัตวรรษที่ 21 ที่ประชุมครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างแสดงว่า การพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลสายนี้มีความหมายสำคัญต่อเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ เพราะการขนส่งทางทะเลมีต้นทุนต่ำ และมีความสะดวกโดยเฉพาะในการขนส่งวัตถุสิ่งของขนาดใหญ่และหนัก ซึ่งเป็นช่องทางใหม่ต่อการส่งเสริมการค้าระหว่างกัน การพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลนอกจากจะส่งเสริมให้นักธุรกิจต่างประเทศมาแสวงหาโอกาสและบุกเบิกพัฒนาตลาดในจีน และยังส่งเสริมให้นักธุรกิจจีนไปลงทุนในต่างประเทศด้วย
คุณสุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ กงสุลใหญ่ไทยประจำเมืองกวางโจว ได้แนะนำผู้ประกอบการว่า ไม่ว่านักธุรกิจไทยจะไปลงทุนในจีนหรือนักธุรกิจจีนจะไปลงทุนในไทยก็ต้องมีเป้าหมายมีตลาดทีชัดเจน และขอข้อมูลจากสถานกงสุลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆได้