นายเผิง จาว คณะกรรมการพรรคชนบทและแรงงานประชาธิปไตยกวางสี และนายหยาง หงเซิง คณะกรรมการพรรคชนบทและแรงงานประชาธิปไตยมณฑลยูนนานเป็นผู้ที่เสนอญัตติดังกล่าว นายเผิงจาวให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า
"ญัตติฉบับนี้เป็นผลงานจากการวิจัยร่วมระหว่างกวางสีกับยูนนาน คณะกรรมการของพรรคเราในสองมณฑลได้ดำเนินการวิจัยระบบการป้องกันและควบคุมโรคระบาดในเขตที่เป็นชายแดนระหว่างจีนกับประเทศอาเซียน หลังจากนั้นจึงได้ทำญัตติฉบับนี้และยื่นต่อที่ประชุม"
มณฑลยูนนานกับกวางสีต่างอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนและติดกับประเทศอาเซียน เช่น เวียดนาม พม่า ลาวเป็นต้น คล้ายเป็นสะพานเชื่อมทั้งสองฝ่าย และมีการติดต่อ แลกเปลี่ยน การไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโรคต่างๆ
นายเผิง จาวกล่าวว่า ปีหลังๆ นี้ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดโรคระบาดบ่อยมาก ยูนนานและกวางสียังขาดปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่จะป้องกันไม่ให้โรคระบาดเข้ามา เช่น อหิวาตกโรคจากเวียดนามเคยระบาดถึงกวางสี และกระจายเข้าเขตแดนชั้นใน เมื่อปี 2009-2013 กวางสีพบผู้ป่วยไข้เลือดออก 38 ราย ในจำนวนนี้ มี 37 รายที่ติดโรคจากประเทศอาเซียน นอกจากนี้ ผู้ป่วยมาลาเรียมี 95.95% เป็นประเภทนำเข้า
นายเผิง จาวยังกล่าวว่า
"ปัจจุบัน หน่วยงานป้องกันและรักษาโรคของมณฑลยูนนานและกวางสีมีพื้นฐานไม่ค่อยดี สิ่งปลูกสร้างขั้นพื้นฐาน ห้องทดลองตลอดจนเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มาตรฐานของประเทศ และระดับราชการหน่วยงานของศูนย์ป้องกันควบคุมโรคยังต่ำ ไม่ดีต่อการประสานความร่วมมือกับประเทศอาเซียน"
สมาชิกสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติทั้งสองคนต่างเห็นว่า ประเทศอาเซียนที่อยู่ใกล้กับจีนก็พบปัญหาดังกล่าวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การตั้งระบบป้องกันและควบคุมโรคระหว่างจีนกับอาเซียนของมณฑลยูนนานและกวางสีจึงมีความจำเป็นมาก เขากล่าวว่า มีงานสำคัญๆ ที่ต้องปฏิบัติต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้แก่
"หนึ่ง รัฐบาลต้องส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน สองต้องการเพิ่มศักยภาพการควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสองมณฑล สาม ต้องถืองานป้องกันโรคระบาดในเขตชายแดนเป็นงานสำคัญในการรักษาความมั่นคงของประเทศ และเพิ่มความเข้าใจต่อไป เพื่อร่วมกันดำเนินการป้องกันในอนาคตต่อไป"
สมาชิกทั้งสองคนต่างกล่าวว่า ถ้าญัตติฉบับนี้ผ่านและสามารถปฏิบัติได้ สภาพการณ์ด้านสาธารณสุขในเขตชายแดนจีนจะดีขึ้น และเป็นหลักประกันในการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพของชายแดนได้"
In/Lei