เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีการสัมมนาว่าด้วยเส้นทางสายไหมระหว่างจีนกับอาเซียนที่เมืองเซินเจิ้น เซิงเจิ้นเป็นหนึ่งในเมืองแรก ๆ ของจีนที่ปฏิรูปและเปิดประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ ผู้สื่อข่าวจากจีนและ 10 ประเทศอาเซียนมาร่วมการสัมมนาซึ่งชุย อี๋เหมิง ผู้สื่อข่าวภาคภาษาไทยซีอาร์ไอก็ไปร่วมด้วย และได้สัมภาษณ์ดร.โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนซึ่งได้วิเคราะห์บทบาทและข้อได้เปรียบของไทยจากหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางพร้อมทั้งประเมินความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนในโอกาสครบรอบ 40 ปีรวมถึงเล่าความประทับใจที่มีต่อเมืองเซินเจิ้นด้วย

ผู้สื่อข่าวภาคภาษาไทยซีอาร์ไอ:

ปีนี้เป็นครบรอบ 40 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ขอให้ท่านประเมินความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในรอบ 40 ปีและในอนาคต ทั้งสองประเทศยังสามารถขยายความร่วมมือในด้านไหนบ้าง

ดร.โภคิน พลกุล:

คือเราจะสังเกตว่า เวลาจีนมาไทย ไทยไปจีน ก็จะพูดกันว่า เราเป็นพี่น้องกัน ญาติสนิทกันมาโดยตลอด ถามว่าเพราะอะไร อาจเป็นเพราะว่า เมื่อคนจีนอพยพมาทางนี้ ก็ไปในหลายประเทศมาในประเทศไทยด้วย แต่การผสมผสานที่ดีที่สุดคือเกิดขึ้นในประเทศไทย เคยเกิดปัญหาไม่เคยเกิด เคยเกิดข้อขัดแย้งไหมเกิด เสร็จแล้วก็ละลายไปหมด ผสมผสานกันได้หมด ขณะที่ไปที่อื่นนี่ การผสมผสานไม่ดีเท่ากับเมืองไทย เราจะพบว่า รัฐบาลไทยเปลี่ยนบ่อย แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนไปในแนวไหน ความสัมพันธ์ความรู้สึกคนไทยคนจีนไม่เปลี่ยน ยังรู้สึกเป็นพี่เป็นน้อง รู้สึกเป็นญาติสนิท

เวลานี้ นโยบายจีนชัดเจนคือลงใต้เป็นมิตรกับอาเซียน ผมจึงคาดว่าภายใน 10 – 20 ปีข้างหน้า จีนจะลงทุนในเมืองไทยมากที่สุดในประเทศอาเซียน เพราะไทยเป็นตัวเชื่อม เป็นลิงค์ของทั้งอาเซียนเลย ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน จีนกับไทยจะยิ่งใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

(Cui)