การโจมตีกรุงจาการ์ต้าครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่า ภัยคุกคามจากกลุ่มไอซิสไม่ไกลตัว โดยเฉพาะกลุ่มหัวรุนแรงของอิสลามมีอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนานแล้ว พวกเขามุ่งที่จะสร้างรัฐเคาะลีฟะฮ์ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ก่อการระเบิดเกาะบาหลี ซึ่งครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน
สำหรับกลุ่มหัวรุนแรงที่เป็นตัวการหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ นายหลี่ เหว่ย ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการก่อการร้ายของสถาบันวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุคปัจจุบันแห่งประเทศจีนกล่าวว่า มีต้นกำเนิดมาจากกลุ่มอาบูไซยาฟของฟิลิปปินส์ พวกเขามีกิจกรรมข้ามแดนฟิลิปปินส์ไปแล้ว เช่น ดำเนินการลักพาตัวที่จังหวัดซาบาห์ของมาเลเซีย และค่อยๆ ขยายตัวเป็นกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ มีแหล่งเงินทุนจากการลักพาตัว อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มอิสลาม เป็นของกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ ส่วนใหญ่อยู่ที่อินโดนีเซีย แต่ปัจจุบันเกือบไม่มีหลงเหลือแล้ว เนื่องจากถูกรัฐบาลปราบปรามจนเหลือแค่กลุ่มกำลังเล็กๆ
กลุ่มหัวรุนแรงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีความเป็นเอกเทศ ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน หลายปีมานี้ ถูกปราบปรามอย่างเข้มงวด มีพื้นที่เคลื่อนไหวนับวันแคบลง โดยเฉพาะหลังเหตุระเบิดเกาะบาหลี อินโดนีเซียจัดตั้งหน่วยพิเศษ88 สังหารและจับกุมผู้นำกลุ่มอิสลามหลายคน ขณะเดียวกัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและไทยก็ได้จับกุมผู้นำของกลุ่มหัวรุนแรงหลายคน ทำให้กำลังหดหายลง
แม้ว่าการปราบปรามการก่อการร้ายมีผลสำเร็จในขั้นต้น แต่ไม่ได้ลดภัยคุกคามลง โดยเฉพาะกลุ่มไอซิสกำลังแทรกแซงเข้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉะนั้น นายสี่ว์ ลี่ผิง หัวหน้านักวิจัยปัญหาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสภาสังคมศาสตร์จีนชี้ว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รับมือกับกลุ่มไอซิสและกลุ่มหัวรุนแรง ไม่เพียงแต่ต้องมีการจำกัดประชาชนของประเทศตนเดินทางไปตะวันออกกลางเท่านั้น หากยังต้องระมัดระวังผู้ที่เดินทางกลับมาจากตะวันออกกลางด้วย ถ้าต้องการแก้ไขปัญหาจากราก ต้องป้องกันปัญหาภายในประเทศถูกใช้เป็นเครื่องมือ ทำให้ข้อขัดแย้งภายในประเทศรุนแรงขึ้น อย่างเช่นกลุ่มไอซิสมีความคึกคักในตะวันออกกลางก็เนื่องจากใช้ข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายซุนนี่กับฝ่ายชีอะห์
Yim/Ping
