ที่เมืองเทียนสิน เมื่อหนึ่งปีก่อน สามีภรรยาคู่หนึ่งตกลงกันว่า เมื่อเสียชีวิตแล้วจะบริจาคเงินทั้งหมดของทั้งคู่ทำสิ่งที่มีความหมาย เมื่อไม่นานมานี้ นางเฉิง อี้ ผู้เป็นภรรยาเสียชีวิตไป นายซ่ง เซิงหยาง ผู้เป็นสามีได้ปฏิบัติตามคำสาบานของทั้งคู่ บริจาคเงิน 1 ล้านหยวนให้แก่มหาวิทยาลัยหนานไค เมืองเทียนสิน
เมื่อพูดถึงสาเหตุที่บริจาคเงินให้มหาวิทยาลัย นายซ่ง เซิงหยางกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องปกติมาก หลายปีมานี้ เขากับภรรยาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ลูกหลานก็เลี้ยงตัวเองได้ จึงได้สะสมเงินก้อนหนึ่ง ในฐานะที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาสนใจเรื่องให้นักเรียนยากจนมีโอกาสได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้วย หวังว่าเงินบริจาคของเขาจะช่วยให้นักเรียนที่ขยัน อดทน รักชาติ แต่ยากจนนั้นมีโอกาสได้รับการศึกษาด้วย และเมื่อเรียนจบแล้วก็จะได้ช่วยเหลือคนอื่นในสังคม และสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมด้วย
นายซ่ง เซิงหยางกล่าวว่า ระหว่างที่สอนในมหาวิทยาลัย เขาพบว่า เวลาซื้อข้าวที่โรงอาหาร นักศึกษาจากครอบครัวปกติก็สั่งอาหารตามใจเลย ส่วนนักศึกษาจากครอบครัวยากจนต้องลังเลยนานกว่าจะได้ตัดสินใจว่าซื้อกับข้าวอะไร ซึ่งปกติก็จะซื้อกับข้าวที่ถูกที่สุด เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ เขารู้สึกลำบากใจมาก เพราะฉะนั้น เมื่อตนเองสะสมเงินมากพอสมควรแล้วก็คิดจะช่วยนักศึกษาเหล่านี้
เพื่อที่จะช่วยเหลือนักศึกษายากจนเหล่านี้ ผู้เฒ่าสองคนใช้ชีวิตแบบประหยัดมาก และไม่ได้ซื้อบ้านด้วย ทั้งสองคนเช่าบ้านอพาร์ทเม้นท์ชั้น 6 ที่ไม่มีลิฟต์ เวลาขึ้นบันได ผู้เฒ่าสองคนต้องพักผ่อนทุกสองชั้น กว่าจะถึงบ้านได้ต้องพักผ่อนเป็น 3 ครั้ง
เดือนกรกฎาคมปีนี้ ซ่งเซิงหยางกับภรรยามาที่มหาวิทยาลัยหนานไค และขอบริจาคเงิน 1 ล้านหยวนให้กับทางมหาวิทยาลัย และตั้งกองทุนการศึกษาในนามของสามีภรรยาคู่นี้ เพื่อช่วยเหลือนักศึกษายากจน เดือนกันยายนที่ผ่านมา ภรรยาของซ่ง เซิงหยางเสียชีวิตไป ช่วงป่วยหนักอยู่ เธอยังฝากซ่ง เซิงหยางให้ติดตามเรื่องบริจาคอยู่ เดือนพฤศจิกายน ซ่ง เซิงหยางได้บริจาคเงิน 3 ก้อน ได้แก่ 2 แสนหยวน 5 แสนยวน และ 3 แสนหยวนรวมแล้ว 1 ล้านหยวนให้กับกองทุนการศึกษามหาวิทยาลัยหนานไค นอกจากนี้ สามีภรรยาคู่นี้ยังได้บริจาคหนังสือกว่า 220 เล่มให้กับมหาวิทยาลัยด้วย
หลายปีมานี้ คนชราจีนที่เมตตาก็ให้น้ำใจแก่นักเรียนและนักศึกษาทั้งหลายมาโดยตลอด
มีคนชราสามีภรรยาคู่หนึ่ง อายุกว่า 70 ปีแล้ว ได้ให้เงินบริจาคเรื่อยๆ ช่วยเหลือคนอื่นมากว่า 50 ปีแล้ว ซึ่งการบริจาคเงินกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสามีภรรยาคู่นี้ไปแล้ว แม้ว่าตนเองยังอาศัยในบ้านเก่าที่ชนบท
ทีแรกสามีภรรยาคู่นี้บริจาคเงินโดยไม่ยอมระบุชื่อ แต่ทีหลังเริ่มมีการบันทึกมากขึ้น ตามบันทึกที่มีอยู่ สามีภรรยาคู่นี้บริจาคเงินกว่า 3 แสนหยวนในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้ สามีภรรยาคู่นี้เกษียณแล้ว รายได้รวมมีเพียง 4,000 หยวนต่อเดือน แต่ก็ใช้ชีวิตแบบประหยัดและเอาเงินที่เหลือไปช่วยเหลือคนอื่น สามีภรรยาบอกว่า สิ่งที่สองคนชอบทำที่สุดก็คืออ่านจดหมายจากผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ ได้ข่าวว่าพวกเขาบางคนหางานทำได้แล้ว แต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ก็ดีใจมาก พวกเขาเหมือนลูกของตนเลย
ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา ที่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์หนานจิงมีประเพณีว่า ทุกปีก่อนจบนักศึกษาทั้งหลายก็จะไปเยี่ยมเยือนอาจารย์ที่เกษียณแล้วคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนการศึกษา เพื่อขอขอบคุณอาจารย์ทั้งสองท่าน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์สองท่านบริจาคเงินอีก 4 แสนหยวน ซึ่งเกือบเป็นเงินทั้งหมดของอาจารย์คู่นี้
ฉาง จือเร่ย เกิดในปี 1921 เคยเป็นอาจารย์ภาษาอังกฤษ สามีชื่อหวัง อวี้หลิน เกิดปี 1915 และทุ่มเทกับกิจการศึกษามาตลอดชีวิตด้วย ปี 2002 นายหวัง อวี้หลินเสียชีวิต ตามบันทึกของสามีภรรยาคู่นี้ ในช่วง 34 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้บริจาคเงินเรื่อยๆ มาโดยตลอด ตั้งแต่ทีละร้อยหยวนถึงทีละหลายพันหยวน ซึ่งส่วนใหญ่บริจาคให้กับวงการการศึกษา
ที่มณฑลส่านซีของจีนมีคุณปู่คุณย่าคู่หนึ่งที่ขอบริจาคมรดกทั้งหมดให้กับสังคมเพื่อสร้างโรงเรียนกุศาล คุณปู่คุณย่าคู่นี้ไม่ยอมระบุชื่อ ผู้คนเรียกกันว่า คุณปู่ไอ้ คุณย่าซิน ซึ่งคุณปู่ไอ้วัย 82 ปี เคยทำงานที่ธนาคาร ส่วนคุณย่าซินวัย 80 ปีเป็นครูสอนโรงเรียนประถม ปี 2003 ลูกสาวของพวกเขาป่วยเสียชีวิต ปี 2007 ลูกชายก็เสียชีวิตเพราะโรคหัวใจ
คุณปู่คุณย่าบอกว่า เพราะงานกุศาลจึงทำให้พวกเขากล้าที่จะดำรงชีวิตต่อไป คุณย่าซินกล่าวว่า ลูกชายไม่เคยได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ลูกชายเคยบอกว่า ชาตินี้อยากสร้างโรงเรียนแห่งหนึ่งสำหรับเด็กๆ ในเขตชนบทยากจน และทำให้เด็กพวกนี้มีโอกาสได้รับการศึกษา
ปี 2009 คุณปู่คุณย่าขายบ้านตน และเอาเงินที่ได้จากการขายบ้าน 4 แสนหยวนบริจาคให้กองทุนกุศาลเพื่อสร้างโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง และปี 2010 โรงเรียนก็สร้างขึ้นมาได้
คุณปู่ไอ้กล่าวว่า ผมกับภรรยาป่วยหนักทั้งคู่ เราจะทำหนังสือยืนยันว่า เมื่อเราทั้งคู่เสียชีวิตแล้ว จะบริจาคมรดกทั้งหมดให้กับกองทุนกุศล แล้วสร้างโรงเรียนประถมอีกสองแห่ง
(LiaoLi)