พินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ วิเคราะห์การประชุมสมัชชาฯ 19 ของจีน
  2017-10-23 21:16:03  cri

พินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ วิเคราะห์การประชุมสมัชชาฯ 19 ของจีน

- เหตุใดเราจึงต้องเข้าใจการเมืองจีน

- ไทยได้รับผลกระทบอะไรบ้างเมื่อจีนเกิดการเปลี่ยนแปลง

- ทำไมสื่อทั่วโลกต้องให้การจับตามองการประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วประเทศ ครั้งที่ 19 มากเป็นพิเศษ

- ทำไมจีนถึงเรียกการปกครองของตนเองว่า "สังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์แบบจีน" หรือบางคนอาจจะเรียกว่า "สังคมนิยมประชาธิปไตย"

- ทำไมเป้าหมายการพัฒนาประเทศของจีนจึงสามารถเดินรุดหน้าไปตามแผนที่วางไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา ทั้งลดจำนวนประชากรยากจน ทั้งการสร้างสังคมพอกินพอใช้ ทั้งการปราบปรามคอร์รัปชั่น ทั้งการส่งเสริมการศึกษาถ้วนหน้า ทั้งด้านการแพทย์ที่ทั่วถึง ทั้งการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่เพียบพร้อม ทั้งการเปิดประตูเศรษฐกิจสู่ทั่วโลกและเปิดให้โลกเข้าสู่จีน เป็นต้น

พินิจ จารุสมบัติ สรุปไว้ด้วยคำสั้นๆ ว่า เพราะ "จีนเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง"

ทำไมพินิจถึงกล้าตอบแบบนี้

เส้นทางการเป็นผู้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในฐานะประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์คงพออธิบายได้ว่า เหตุไฉนเขาจึงเข้าใจแก่นแท้ของจีนอย่างแจ่มแจ้ง และหากจะนับการเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายกระทรวงมาก่อน ก็ยิ่งเสริมให้การมองในระดับผู้นำของเขามีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม

และหากนับว่า พินิจ จารุสมบัติ เป็นตัวแทนหนึ่งเดียวจากประเทศไทยที่ถูกรัฐบาลเชิญเข้าร่วมการประชุมระดับประเทศของจีน ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า เขานี่ละคือผู้ที่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับจีนแก่ผู้ที่มี "ทำไม" และ "ทำไม" อย่างที่เกริ่นมาข้างต้นได้เป็นอย่างดีที่สุด

อยากให้อธิบายเกี่ยวกับการประชุมสมัชชาฯ 19 ให้คนทั่วไปเข้าใจ

การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วประเทศจัดขึ้นทุกๆ 5 ปี แต่ละครั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในประเทศจีน และมีผลกระทบต่อนานาประเทศหรือสังคมโลกอย่างมาก

เพราะว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ มีประชากรมาก และมีพลังทางทรัพยากรคนต่างๆ มาก มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีภูมิปัญญา มีวัฒนธรรมลึกซึ้งที่โดดเด่นอย่างมากมาย

อย่างเช่น การประชุมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งแรก ทำให้ประชาชนมีที่พึ่ง มีที่ยึด เป็นศูนย์กลางของของประชาชนในการต่อสู้

ในประวัติศาสตร์จีนมีสงคราม 3 ครั้ง แต่ละครั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะเป็นแกนกลางหรือเป็นผู้นำในการต่อสู้ และการประชุมพรรคแต่ละครั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด

การประชุมที่เลือกท่านประธานเหมาเจ๋อตุงเป็นผู้นำ ก็ทำให้เกิดการรุกรบต่อสู้ เกิดชัยชนะต่างๆ จนมาถึงการสถาปนาประเทศจีนเมื่อปี 1949 ทุกครั้งที่มีการประชุมใหญ่ก็จะมีเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงยุทธศาสตร์และนโยบาย และนั่นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศนานาชาติ

ฉะนั้นการประชุมครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการประชุมครั้งสำคัญ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จีนได้เปิดประเทศและพัฒนาจนชีวิตความเป็นอยู่ด้านเศรษฐกิจต่างๆ มีความเจริญมั่นคงมาก

ในช่วงทศวรรษต่อไป หรือในอีก 5 ปีข้างหน้าที่ทางพรรคฯ ได้ประชุมในครั้งนี้ก็ถือเป็นการปฏิรูป หรือเป็นการยกระดับของยุทธศาสตร์หรือนโยบายของประเทศจีนและของโลก อย่างเช่น ทางประเทศจีนถือว่าจะต้องแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนให้ได้ทั้งหมดภายในปี 2020 นี่คือการกำหนดที่มียุทธศาสตร์ นโยบาย และแผนการที่ชัดเจน

หรือว่าใน 5 ปีที่ผ่านมา ทางพรรคได้กำหนดว่าต้องแก้ปัญหาคนจนได้หมดสิ้นไป 60 ล้านคนก็ได้เสร็จสิ้นไปอย่างนี้เป็นต้น

หรืออย่างเช่น จีนได้ประกาศว่าจะต้องทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุข เพราะจีนยังถือว่าตนเป็นประเทศที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา

การแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบนี้ถือว่าการปกครองในระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยในลักษณะวัฒนธรรมของจีนถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งชาวจีนและชาวโลก เพราะผลสำเร็จของประชานิยมแบบพรรคคอมมิวนิสต์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของประชาชนที่ดี มีสิทธิเสรีภาพ มีชีวิตที่มีอยู่มีกิน พอกินพอใช้ มีความสุข และทำให้เศรษฐกิจของโลกมีผลกระทบในด้านบวก ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นจุดที่สำคัญ

จริงๆ การประชุมครั้งนี้ ก็ประกาศย้ำและยืนหยัดในเรื่องของสังคมนิยมประชาธิปไตยแบบจีน และประกาศว่าเป็นสังคมนิยมยุคใหม่ที่ทันสมัย เป็น Modern Socialist ที่มีการปฏิรูปมีการใช้ความทันสมัยในโลกสมัยใหม่เข้ามา ถือว่ามีบทบาทหรือผลต่อชีวิต สังคม การเปลี่ยนแปลงของในประเทศจีนและนานาชาติ

อย่างเช่นที่ผ่านมา จีนได้สร้างรถไฟความเร็วสูงถึง 25,000 กิโลเมตร อย่างนี้ทำให้โลจิสติกส์ของจีนพัฒนา ถนนหนทางต่างพัฒนาเกือบห้าหมื่นกิโลเมตร ชีวิตของประชาชนก็ดีขึ้น ความสะดวกรวดเร็วดีขึ้น

ส่วนการพัฒนาเรื่องระบบการเกษตร ไม่ว่าในเรื่องของระบบชลประทาน ระบบเมล็ดพันธุ์ต่างๆ เช่น ศ.หยวน หลงผิงได้พัฒนาเรื่องสายพันธุ์ข้าว โหม่วหนึ่งผลิตได้ประมาณเกือบหกร้อยกิโลกรัม นี่ทำให้เกิดการอยู่ดีมีสุข คือมีข้าวกิน มีผลผลิตที่ดี ประชาชนก็ได้รับประโยชน์อย่างมาก

การประชุมพรรคแต่ละครั้งจะมีการกำหนดยุทธศาสตร์นโยบายต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ทางที่ดีขึ้น แล้วจีนยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีประชาชนเป็นตัวตั้ง ยึดถือปัญหาและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

เวลาจีนขยับจะมีผลต่อทั้งโลก จึงอยากทราบว่าสังคมจะได้รับประโยชน์หรือได้รับผลกระทบอะไร

การเปลี่ยนแปลงของประเทศจีนในแต่ละครั้ง ประเทศไทยเราจะได้รับประโยชน์อย่างมากในด้านบวกมาโดยตลอด เวลาที่ไทยเดือดร้อนก็พึ่งจีนมาโดยตลอด ก็อาศัยซึ่งกันและกัน มีความไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะจีนกับไทยเป็นความสัมพันธ์ชนิดพิเศษ ซึ่งผู้นำของไทยและจีนมักกล่าวเสมอว่า "จีนไทยไม่ใช่อื่นไกลครอบครัวเดียวกัน" ซึ่งประโยคนี้ประเทศอื่นไม่มี

ฉะนั้น เมื่อจีนเติบใหญ่เข้มแข็ง มีเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น และด้วยความที่จีนเป็นประเทศที่บริโภคสูงมาก อำนาจการซื้อสูงมาก เห็นได้ชัดจากการท่องเที่ยวว่าประเทศไทยก็ได้รับผลจากการก้าวหน้าพัฒนา เศรษฐกิจดี ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างมาก ปีที่แล้วมีคนจีนมาเที่ยวไทยประมาณ 8 ล้านคน ปีนี้ก็ประมาณ 10 ล้านคน นี่เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจน

แล้วก็นอกจากนั้น ก็คือผลไม้ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลำไยไม่เคยราคาสูงขนาดนี้ ที่ผ่านมาก็จะมีปัญหาเรื่องเกษตรกรเดือดร้อนเรื่องราคาผลผลิตที่ตกต่ำ แต่วันนี้ผลไม้ต่างๆ ไปสู่ตลาดจีน จนอาจจะพูดได้ว่าในปีนี้ที่ผ่านมาไม่พอขาย จนทำให้ราคาผลไม้ของเกษตรกรสูงขึ้น ทุเรียนไม่เคยเปิดฉากขึ้นมากิโลละ 100 กว่าบาท จนสุดท้ายถึงทุเรียนออกมาเยอะขนาดไหน ก็กิโลกรัมละ70-80 บาท อันนี้ รูปธรรมให้เห็นชัดว่าการพัฒนาของจีนมีผลกระทบต่อนานาชาติหรือต่อประเทศไทยในด้านบวก

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแถลงข่าวให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องสิทธิทางกฎหมายและนักลงทุนต่างชาติและภาคธุรกิจทั้งหมดที่จดทะเบียนในจีน โดยจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน นี่เป็นการส่งสัญญาณว่านักลงทุนทุกคนต่างมีโอกาสในตลาดที่เปิดกว้างของจีนใช่ไหม

แน่นอน นักลงทุนไทยหรือการค้าขายระหว่างคนไทยกับจีนมีกันทั้งไปและมา ถือว่าโอกาสของนักธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนค้าขายในประเทศจีนจะได้หลักประกันที่มีความมั่นคง หลักประกันที่มีความยุติธรรม มีความถูกต้อง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีมาก

คือเมื่อจีนเปิดประเทศขึ้นมา ก็เปิดโอกาสให้ หรือใช้ระบบที่ว่า "กลไกตลาดเป็นตัวนำหรือเป็นผู้กำหนด" ซึ่งอันนี้เป็นหลักการที่ถูกต้อง

คือระบบของจีนในอดีต รัฐเป็นผู้บริหารจัดการดูแลหมดทุกอย่าง แต่หลังจากเปิดประเทศขึ้นมาแล้ว สังคมนิยมประชาธิปไตยทันสมัยมากขึ้น ให้ตลาดเป็นผู้กำหนด ให้เอกชนมีส่วนมาเป็นเจ้าของกิจการ ยกเว้นกิจการใหญ่ที่รัฐเป็นผู้ดูแล อันนี้คือการเปลี่ยนแปลง และจากก้าวนี้ต่อไปการเปลี่ยนจะเพิ่มมากขึ้นอีก

อย่างที่ท่านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ประกาศ จะมีการเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งในและจากต่างประเทศเข้าไป นี่คือการเปิดโอกาสให้มากขึ้นอีกจากเดิมที่มีโอกาสในการทำมาค้าขายในการลงทุนอะไรต่างๆ อยู่แล้ว เท่ากับว่าในบางกิจการเปิดกว้างมากขึ้นอีก

ในเรื่องของนโยบาย one belt, one road ก็เป็นยุทธศาสตร์หลักที่เป็นโครงการรูปธรรมที่จับต้องได้จริงๆ เพราะจีนได้กำหนดให้มีแผนและโครงการทั้งในประเทศจีนและเชื่อมโยงชาวโลก ไม่ว่าเส้นทางทางรถไฟ การเปิดเชื่อมต่อโลจิสติกส์ เรื่องของการเดินเรือ สายการบิน วัฒนธรรมการแลกเปลี่ยน การค้าการลงทุน หรือว่าโครงการอย่างเช่น ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย หรือ AIIB ที่จีนก่อตั้งขึ้นมาที่ให้ประเทศต่างๆ ได้มากู้ยืมเพื่อไปพัฒนาประเทศของตน เป็นต้น

เพราะอะไรสื่อต่างประเทศถึงให้น้ำหนักกับการประชุมครั้งนี้มากกว่าครั้งที่ผ่านมา

เพราะว่าตอนนี้จีนเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจและอาจจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ซึ่งจีนใช้เวลาในการพัฒนาไม่ถึง 70 ปี คือนับตั้งแต่ประกาศประเทศจีนใหม่ขึ้นมา ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นจัดตั้งขึ้นมาปีนี้เป็นปีที่ 96 (อีก 4 ปี ครบ 100 ปี) เพราะฉะนั้นเป้าหมายของจีนเดินอย่างมั่นคง ทีละก้าวๆ จนประสบความสำเร็จในวันนี้ จากประเทศจีนที่มีความทุกข์ยาก มีความขาดแคลนทุกอย่าง จนวันนี้มีกินมีใช้ ชีวิตของประชาชนมีความมั่นคงมากขึ้นๆ เศรษฐกิจเติบใหญ่มั่นคงขึ้น

วันนี้ทุกประเทศเลยต้องมองจีน เพราะจีนขยับยังไงก็แล้วแต่ ล้วนมีผลกระทบต่อความมั่นคง และเศรษฐกิจของภูมิภาค เรื่องการตกลงทางการค้า นโยบายต่างๆ ที่ออกมาล้วนแต่มีผลทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนทั่วโลกจึงต้องจับตามองว่าการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งนี้มีนโยบายอย่างไร

จีนถือว่าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้นำในการบริหารประเทศ เพราะฉะนั้นประเทศจีนจะไปในทิศทางไหนก็อยู่ที่การประชุมของพรรคเป็นผู้กำหนด จะขับเคลื่อนประเทศ จะเปิดกว้าง จะมีนโยบายในด้านการต่างประเทศอย่างไร นโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างไร นโยบายในเรื่องโลกร้อนอย่างไร มันก็ล้วนแต่มีความกระทบต่อนานาชาติทั้งสิ้น

นโยบายที่สีจิ้นผิงแถลงทั้งหมด ในมุมมองของท่านมีอะไรที่สำคัญบ้าง

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแถลงจุดรวมสำคัญที่สุดก็คือว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะบริหารประเทศให้ประชาชน คือแก้ปัญหาความยากจนทั้งหมดไม่ให้มีคนจนในประเทศจีนในปี ค.ศ.2020 และจะทำให้จีนเป็นสังคมนิยมสมัยใหม่ ทันสมัย ให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีสุข มีความชัดเจน และท่านก็พูดถึงว่าสังคมทั่วโลกต้องแบ่งปันกัน ประกาศชัดเจนในเรื่องนโยบายของจีนกับนานาชาติ จะร่วมมือกันในการสร้างสันติสุข ความมั่นคง เคารพซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกัน นี่คือความชัดเจนของประเทศจีนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ทางท่านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ประกาศนโยบายที่ชัดเจนว่าเป็นภัยคุกคามต่อพรรคคอมมิวนิสต์และต่อประเทศจีนที่สำคัญคือ "ปัญหาเรื่องคอรัปชั่น" ซึ่งท่านก็ประกาศว่าจะขจัดปัญหาเหล่านี้ จะต่อสู้ให้ชนะในปัญหาเรื่องคอรัปชั่นให้ได้ เพราะถือว่าเป็นภัยคุกคามที่มีอันตรายมาก

----------------------------------------------

พัลลภ สามสี เรียบเรียง

อรอนงค์ อรุณเอก แกะบทสัมภาษณ์

ยุวดี คุ้มกลัด ถ่ายภาพ

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
ตอบคำถามออนไลน์
ทบทวนรายการน่าสนใจ
ภาพยอดฮิต
เว็บไซต์ึเพื่อนซีอาร์ไอ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Play Stop
© China Radio International.CRI. All Rights Reserved.
16A Shijingshan Road, Beijing, China. 100040