การที่เขตอาลาซั่นมีลักษณะภูมิอากาศเช่นนี้ บวกกับปัจจัยสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เขตอาลาซั่นเป็นที่ตั้งของทะเลทรายใหญ่ๆ 3 แห่งกระจายตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกไปยังถึงทิศตะวันออกทั้วทั้งเขต ได้แก่ ทะเลทรายตันปาจี๋หลิน ทะเลทรายเถิงเก๋อหลี่ และทะเลทรายอูหลานปู้ กินเนื้อที่ 78,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็น 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดเขตอาลาซั่น และจัดเป็นพื้นที่ทะเลทรายใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศจีน ทำให้เขตอาลาซั่นกลายเป็นแหล่งกำเนิดพายุทรายของประเทศจีน

มูลนิธิ SEE อาลาซั่น ซึ่งเป็นองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือของบริษัท ant financial ประกาศว่า เส้นทางการเดินทางจากเหนือไปยังใต้ของพายุทรายในประเทศจีนมี 4 สายใหญ่ๆ โดยมี 2 สายต้องผ่านพื้นที่ทะเลทรายของเขตอาลาซั่น ดังนั้น หากสิ่งแวดล้อมของอาลาซั่นไม่สามารถได้รับการอนุรักษ์อย่างดี ก็จะเป็นผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งระบบของประเทศจีนอย่างร้ายแร้ง เพราะฉะนั้น การปลูกต้นไม้ในเขตอาลาซั่น จึงมีความหมายสำคัญยิ่งต่อสิ่งแวดล้อมในเขตนี้ และต่อสิ่งแวดล้อมของทั่วทั้งประเทศจีนด้วย เมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา มูลนิธิ SEE อาลาซั่นได้เริ่มต้นโครงการ " ซัวซัวซู่ 100 ล้านต้น" โดยมีเป้าหมายว่าจะปลูกต้นซัวซัวซู่ให้ปกคลุมพื้นที่ทะเลทรายให้ได้ถึง 2 ล้านไร่ จนถึงปลายปี 2016 ที่ผ่านมา ต้นซัวซัวซู่ได้ครอบคลุมพื้นที่ทะเลทรายแล้วถึง 507,000 ไร่ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิ SEE อาลาซั่นและป่าไม้มดของอาลีเพย์ กำแพงสีเขียวที่ป้องกันพายุทรายจากภาคเหนือกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

วันที่ 21 มีนาคมตรงกับ "วันป่าไม้โลก" โดยวันดังกล่าวของปีนี้ โครงการป่าไม้มดได้จัดทีมปลูกต้นไม้ไปถ่ายทอดสดสภาพป่าไม้มดในเขตอาลาซั่นและต้นไม้ต่างๆ ที่ถูกปลูกไว้ในเขตนี้ โดยประกอบด้วยอาสาสมัคร 8 คน ที่ได้คัดเลือกจากผู้สมัครทั้งหมดเกือบ 30,000 คน ซึ่งให้ทุกคนเล่าเรื่องราวของตนเองกับป่าไม้มด เพื่อประกอบการคัดเลือกมาร่วมทีม

เนื่องด้วยระยะทางที่ไปยังเขตอาลาซั่นไกลแสนไกล สภาพอากาศค่อนข้างเลวร้าย จึงไม่สามารถจัดทีมใหญ่ๆ ที่มีจำนวนคนมากพอสมควรได้ ในที่สุด ก็คัดเลือกอาสาสมัครมาร่วมปลูกต้นไม้ได้ 8 คนในฐานะเป็นผู้แทนผู้ร่วมโครงการป่าไม้มดทั่วทั้งประเทศ เดินทางไปยังเขตปลูกต้นไม้จริงในเขตอาลาซั่น พร้อมจัดการถ่ายทอดสดออนไลน์ให้เห็นกันจริงๆ