สำนักข่าวซินหวารายงานว่า เช้าวันที่ 14 เมษายนตามเวลาท้องถิ่น หน่วยงานรัฐบาลและสถานที่ทางทหารหลายแห่งของซีเรียถูกกองทัพสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศสโจมตี ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบจำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมถึงความเสียหายต่าง ๆ โดยประชาคมโลกต่างให้ความสนใจในประเด็นนี้อย่างมาก บางประเทศสนับสนุนให้สามประเทศโจมตีซีเรีย ส่วนสหประชาชาติและประเทศส่วนใหญ่เร่งรัดให้ฝ่ายต่าง ๆ พยายามแก้ปัญหาซีเรียด้วยวิถีทางการเมือง
เมื่อค่ำวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งการให้กองทัพสหรัฐฯ ร่วมมือกับกองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสโจมตีหน่วยงานรัฐบาลและสถานที่ทางทหารของซีเรีย เป็นการตอบโต้ที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีในการปะทะภายในประเทศ
เมื่อวันที่ 14 เมษายน นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเน้นว่า ปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการการใช้อาวุธเคมีกับประชาชนทั่วไป และรักษากฎระเบียบระหว่างประเทศในการห้ามใช้อาวุธเคมี ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอังกฤษ
โดยในวันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศซีเรียแถลงว่า รัฐบาลซีเรียประณามสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศส ที่โจมตีซีเรียด้วยขีปนาวุธอย่างรุนแรง
เมื่อค่ำวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติแถลงว่า ได้ติดตามปฏิบัติการทางทหารร่วมของสหรัฐฯ อังกฤษและฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด เร่งให้สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯ มีความสามัคคี ปฏิบัติหน้าที่รักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก และปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ
ในขณะเดียวกัน นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียแถลงว่า การใช้กำลังโจมตีซีเรียโดยสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร นั้นไม่ได้รับการมอบหมายจากคณะมนตรีความมั่นคงฯ ถือเป็นการรุกรานประเทศอื่นซึ่งฝ่าฝืนกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า การใช้กำลังอาวุธโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์และหลักการกฎบัตรสหประชาชาติ ฝ่าฝืนหลักการและกฎเกณฑ์พื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และจะนำมาซึ่งความวุ่นวายในการแก้ไขปัญหาซีเรีย จีนเร่งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับเข้าสู่กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และแก้ปัญหาด้วยการเจรจา
(Bo/cici)