บทสัมภาษณ์นายวราวุธ ชูวิรัช อัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน

ผิงผิงสวี่ (ผู้สื่อข่าวซี.อาร์.ไอ.) อีกไม่นานจะถึงวันครบรอบ 36 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย ไม่ทราบว่าท่านมีความคิดเห็นอะไรบ้างในการกระชับความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ

นายวราวุธ ชูวิรัช (อัครราชทูตไทย) จริงๆ แล้ว ประเทศไทยกับประเทศใช่อื่นใคร พี่น้องกัน ความสัมพันธ์ทางด้านประชาชนค่อนข้างที่จะแนบแน่นและดี เพราะฉะนั้น คนจีนจะคุ้นกับวัฒนธรรมไทยพอสมควร อาหารการกินของชาวไทยก็เริ่มได้รับความนิยมในประเทศจีน จะเห็นได้ว่า มีภัตตาคารอาหารไทยเปิดขึ้นมากในเมืองใหญ่ๆของจีน คนจีนก็เริ่มที่จะเรียนรู้และชื่นชอบวัฒนธรรมไทย ส่วนอาหารจีนในประเทศไทยไม่ต้องพูดถึง เราคุ้นเคยและชื่นชมอาหารจีนอยู่มากในประเทศไทย ภัตตาคารจีนในประเทศไทยมีฝีมืออย่างดีไม่ด้อยไปกว่าหลายภัตตาคารชั้นนำในประเทศจีนด้วยซ้ำ เรื่องศาสนาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีความเกี่ยวพันธ์ในฐานะที่ประเทศจีนเคยเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ตัวเลขอย่างเป็นทางการนั้น ก็ยังมีชาวจีนที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ประมาณ 140 ล้านคน เทียบกับประเทศไทยแล้ว ประเทศไทยมีอยู่แค่ 60-70 ล้านคน ถือว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีชาวพุทธ์มากที่สุดในโลก อันนี้ ความเชื่อมโยงระหว่างพุทธ์ นิกายของจีนคือมหายานกับพุทธนิกายของไทยคือหินยาน มีความเกี่ยวเนื่องมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างที่จะดี ในประเทศไทยมีวัดพุทธนิกายมหายานที่ดังๆ 2 แห่งคือวัดโพเมนและวัดเล่งเน่ยยี่ แต่น่าเสียดายยังไม่มีวัดพุทธนิกายหินยานของไทยอยู่ในจีนแม้แต่วัดเดียว แต่ในอนาคตคงจะมีวัดแรกเกิดขึ้นที่เมืองลั่วหยาง วัดไป๋หม่าเซ่อ ซึ่งตอนนี้กำลังสร้างอยู่ เป็นวัดสไตล์หินยานของไทย อีกหน่อยคนจีนก็คงไปแวะเยี่ยมชมได้ อีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมก็คือว่ากระแสของละครไทยที่เข้ามาในประเทศจีนตอนนี้ได้รับการตอบรับของชาวจีนค่อนข้างดี อันนี้สะท้อนให้เห็นว่าพื้นฐานของความคิดหรือความชื่นชอบค่อนข้างคล้ายกัน ล่าสุดนี้ นิทรรศการภาพยนตร์เอเชียที่จัดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ หนังไทยที่เข้ามาก็ได้รับความนิยมค่อนข้างดี อันนี้เป็นตัวเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชนทางด้านวัฒนธรรมที่น่าสนใจ