2019-03-26 10:57CRI
หลาง ผิง ลาออกจากการเป็นนักกีฬาทีมชาติจีน เนื่องจากเหตุผลเรื่องสุขภาพในปี ค.ศ.1986 หลังจากนั้น เธอได้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งเป็นเวลาครึ่งปี ขณะนั้นพอดีมีโควตารัฐบาลจีนที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ หลาง ผิง เห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้สิ่งใหม่นอกจากการเล่นวอลเลย์บอล
นอกจากนี้ หลาง ผิง ไปใช้ชีวิตในสหรัฐฯ เพื่อลองเป็นคนธรรมดาดูบ้าง หลาง ผิง สตรีสูง 1.84 เมตร จากความสูงของเธอ เวลาไปไหนมาไหนย่อมโดดเด่นอยู่แล้ว ยิ่งเธอเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนด้วยฉายา “ค้อนเหล็ก” ยิ่งเป็นเรื่องที่คลั่งไคล้ของชาวจีน เวลาไปไหนมาไหน เธอย่อมเป็นที่รู้จัก และมีผู้คนติดตามต่อแถวทักทายอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่การไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลาง ผิง ไปชมภาพยนตร์ เธอตั้งใจเข้าไปในโรงภาพยนตร์สายสักหน่อย เพื่อรอให้ไฟในโรงมืดลงเสียก่อน แต่พอเธอนั่งลงได้ไม่นานนัก ผู้ชมที่อยู่ข้าง ๆ ต่างส่งเสียงออกมาว่า “หลาง ผิง หลาง ผิง” ทันใดนั้น จากโรงหนังที่มีระเบียบเรียบร้อยก็กลายเป็นมีเสียงดังลั่นเต็มไปหมด หลาง ผิง จึงต้องรีบลุกออกจากโรงภาพยนตร์ไป
เดือนเมษายน ปี ค.ศ.1987 หลาง ผิง มีเงินติดตัว 90 ดอลลาร์ออกเดินทางจากกรุงปักกิ่ง ไปยังสหรัฐฯ ในยุคนั้น 90 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่ามากพอสมควร นักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อในสหรัฐช่วงนั้น บางคนมีแค่ 10 - 15 ดอลลาร์เท่านั้นเอง ช่วงนั้น จีนเพิ่งเปิดประเทศ ประชาชนยังยากจนอยู่ ไม่มีเงินใช้
ช่วงที่หลาง ผิง เดินทางถึงสหรัฐฯ ใหม่ ๆ เธอพักอยู่ในบ้านของเพื่อนในเมืองลอสแอนเจลิส เนื่องจากเธอถือวีซ่าราชการ เธอจึงหางานทำไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ หลาง ผิง พบว่า ที่สหรัฐฯ เสื้อผ้าธรรมดา ๆ ชุดหนึ่งต้องใช้เงิน 70 - 80 ดอลลาร์ การใช้ชีวิตในสหรัฐฯ อาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนไม่ได้ เธอต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเองให้ได้ หลังจากนั้นอีกไม่นาน หลาน ผิง จึงตัดสินใจย้ายออกจากเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งมีเพื่อนและคนรู้จักจำนวนมาก ไปยังรัฐนิวเม็กซิโก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งมหาวิทยาลัยรัฐนิวเม็กซิโก ออกทุนให้เธอเรียนฟรี แต่มีเงื่อนไขอยู่ประการหนึ่ง คือ ให้เธอเป็นผู้ช่วยฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลของมหาวิทยาลัย
ทีแรก หลาง ผิง ก็รู้สึกกลุ้มใจ แต่เพื่อตั้งตัวให้ได้ หลาง ผิง จึงยอมรับสภาพความเป็นจริง ช่วงปิดเทอม เธอไปสอนเด็ก ๆ เล่นวอลเลย์บอลตามค่ายต่าง ๆ กว่า 10 ค่าย เหนื่อยมาก ขณะเดียวกัน เธอยังต้องเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ทางภาษา
นอกจากเรื่องภาษาที่ใช้สื่อสารจะเป็นความท้าทายของหลาง ผิง แล้ว เรื่องอาหารการกินก็ไม่ต่างกันเลยใช่ไหมครับ เพื่อประหยัดเงิน หลาง ผิง มักจะทำแซนด์วิชมาจากบ้านเพื่อเป็นอาหารเที่ยง เพราะ การไปทานอาหารกลางวันในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย หรือร้านแม็คโดนัล มื้อหนึ่งเธอต้องใช้เงินอย่างน้อย 5 - 6 เหรียญ สู้ใช้เงินจำนวนนี้ไปซื้อขนมปัง ผัก และไข่ มาทำแซนด์วิชเอง สามารถกินได้หนึ่งสัปดาห์
หลาง ผิง ใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้เป็นปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1989 ทีมสโมสรวอลเลย์บอลในอิตาลีแห่งหนึ่งตัดสินใจจ้าง หลาง ผิง มาร่วมทีม ตอนนั้นเธอดีใจมาก ตั้งใจจะทำผลงานให้ดี แต่ก็นึกไม่ถึงว่า การฝึกซ้อมวันแรกจะทำให้กล้ามเนื้อของเธอได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากใช้แรงมากไป แต่หลาง ผิง ก็ยังคงยืนหยัดเข้าร่วมการแข่งขันต่อไป โดยใช้ขาข้างเดียวที่ไม่ได้บาดเจ็บกระโดด ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมของเธอเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไปด้วยคะแนน 3 ต่อ 0 เซ็ต
หลังจากนั้นไม่นาน หลาง ผิง จึงกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในทีม พอถึงฤดูการแข่งขัน หลาง ผิง จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ทำผลงานในทีม ฤดูการแข่งขันผ่านไปเพียงครึ่งหนึ่ง หัวเข่าของหลาง ผิง ก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บสาหัส จนจำเป็นต้องผ่าตัด แพทย์บังคับให้เธอหยุดพักหนึ่งเดือน ทำให้หลาง ผิง เสียใจมากที่ไม่สามารถร่วมแข่งขันได้ ผลการแข่งขัน 4 นัด ในช่วงที่เธอไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมปรากฏว่า ทีมของเธอแพ้ทั้งหมด ทุกครั้งที่เจ้าของสโมสรมาพบกับหลาง ผิงเขามักจะถามว่า อาการของหัวเข่าของเธอเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อไหร่จะกลับมาแข่งขันได้ สีหน้าเจ้าของสโมสรค่อนข้างจริงจัง เพราะหลาง ผิงทราบว่า หากทีมของเธอยังคงแพ้การแข่งขันอยู่เช่นนั้น เจ้าของสโมสรอาจจะเลื่อนเวลาให้เงินเดือนเธอออกไปก็เป็นได้
หลาง ผิง ฝากให้เพื่อน ๆ ในสหรัฐฯ ช่วยซื้อยาแก้ปวด และส่งมาให้เธอทางไปรษณีย์ ก่อนการแข่งขัน เธอจะทานยาแก้ปวดครั้งละ 4 เม็ด มีอยู่ช่วงหนึ่ง กระดูกอ่อนบริเวณหัวเข่าของเธอแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เคลื่อนที่อยู่ในหัวเข่า บางครั้งกระดูกเหล่านี้หล่นเข้าไปในช่องกระดูก ทำให้รู้สึกเจ็บมาก อาการนี้ทำให้เยื่อหุ้มกระดูกมีของเหลวขังอยู่ด้านใน ก่อนการแข่งขัน แพทย์จะต้องดูดของเหลวเหล่านี้ออกมา และทำเช่นนี้อีกครั้งหลังการแข่งขัน หลาง ผิง บอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเล่นวอลเลย์บอลเพื่อเงิน
หนึ่งปีให้หลัง ด้วยประสบการณ์การเล่นวอลเลย์บอลให้กับทีมสโมสรในอิตาลี หลาง ผิง จึงมีสิทธิยื่นขอกรีนการ์ด หรือ ขอเป็นผู้มีถิ่นอาศัยถาวรในสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน เธอต้องผ่านการทดสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษ หรือโทเฟิล ซึ่งเธอทำคะแนนได้ 560 คะแนน นอกจากนี้ หลาง ผิง ยังผ่านการทดสอบต่าง ๆ และมีสิทธิเข้าเรียนในสาขาเอกการบริหารกีฬา ระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยรัฐนิวเม็กซิโก ของสหรัฐฯ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว หลาง ผิง ตัดสินใจใช้ชีวิตในสหรัฐฯ ต่อ
หลาง ผิง แต่งงานกับ ไป๋ ฟาน นักกีฬสวอลเลย์บอลชาย ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อปี ค.ศ. 1987 ทั้งสองเดินทางไปสหรัฐฯ มีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่งที่นั่นในปี ค.ศ. 1992 แต่เนื่องจากหลาง ผิงไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว ทั้งสองแทบไม่ได้อยู่ด้วยกัน เธอจึงตัดสินใจแยกทาง โดยหย่ากับสามีขณะที่ลูกสาวของพวกเขาอายุได้เพียง 3 ขวบ