2020-03-26 13:38CRI
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์แปลนวนิยายของนักเขียนเมืองอู่ฮั่นอีกท่านหนึ่ง ชื่อว่า “ฟางฟาง” เรื่อง “เมฆเหินน้ำไหล”
พระราชนิพนธ์แปล “เมฆเหินน้ำไหล” มาจากนวนิยายเรื่อง “สิงหยุนหลิวสุ่ย” คำว่า “หยุน” หมายถึง เมฆ ส่วนคำว่า “สุ่ย” หมายถึง น้ำ “สิงหยุนหลิวสุ่ย” จึงหมายความว่า เมฆเหินน้ำไหล เป็นผลงานของนางฟางฟาง นักประพันธ์หญิงเมืองอู่ฮั่นที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับนางฉือ ลี่ กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชนิพนธ์แปลนวนิยายเรื่องนี้เป็นภาษาไทยเมื่อทศวรรษปี 1990 โดยจัดพิมพ์ 2 ครั้งในปี ค.ศ. 1996 และ1997 รวม 40,000 เล่ม
เมฆเหินน้ำไหล เป็นเรื่องราวของศาสตราจารย์คนหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ในช่วงที่จีนเพิ่งเริ่มการปฏิรูปและเปิดประเทศ ศาสตราจารย์คนนี้รักงานสอนหนังสือในมหาวิทยาลัย ชอบทำงานวิชาการ เอาใจใส่ลูกศิษย์เหมือนลูกของตัวเอง ชื่นใจที่ได้เห็นลูกศิษย์เจริญก้าวหน้า และเป็นกังวลเมื่อเห็นลูกศิษย์ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ น่าเสียดายว่า ลูกศิษย์และสังคมไม่เห็นคุณความตั้งใจของศาสตราจารย์ผู้นี้ นวนิยายเรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของปัญญาชนที่มีความศรัทธาต่อวิชาความรู้อันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ที่ต้องเผชิญกับชีวิตความเป็นอยู่อันยากลำบากและซับซ้อน “สิงหยุนหลิวสุ่ย” เป็นสำนวนจีนซึ่งเปรียบเปรยถึง ผู้ที่ใฝ่หาความมักน้อย สันโดษ ไม่ยอมถูกจำกัด เหมือนเมฆที่ลอยบนท้องฟ้า และมีอิสระเสรีเหมือนน้ำไหล
ฟางฟาง เกิดที่เมืองหนานจิง ในปี ค.ศ.1955 มีอายุมากกว่า ฉือลี่ 2 ปี ตอนอายุได้ 2 ขวบ ฟางฟางติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปอาศัยอยู่ในเมืองอู่ฮั่น เมื่อเติบโตขึ้น จึงมีประวัติคล้ายกับฉือลี่ คือ สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น เคยทำงานในสถานีโทรทัศน์มณฑลหูเป่ย จากนั้นเคยดำรงตำแหน่งนากยสมาคมนักเขียนเมืองอู่ฮั่น ฟางฟางคุ้นเคยและรู้จักเมืองอู่ฮั่นเป็นอย่างดี เธอบอกว่า หากให้เลือกเมืองสักแห่งบนโลก เธอก็จะเลือกเมืองอู่ฮั่น เพราะว่า รู้จักเมืองอู่ฮันดีกว่าเมืองอื่น อยู่อู่ฮั่นมานานกว่า 60 ปี สิ่งของต่าง ๆ ในเมืองอู่ฮั่นได้ซึมเข้าในชีวิตของเธอ
สำหรับฉือ ลี่ เธอบอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองอู่ฮั่นกับเธอ เสมือนสุนัขกับบ้านสุนัข ไม่ว่าจะเดินทางไกลแค่ไหน ก็ต้องกลับมา เพื่อมาหากลิ่นของที่นี่ เธอคุ้นเคยทุกสิ่งทุกอย่างของเมืองนี้ เวลาอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น เธอหลับได้เร็วและฝันดี แม้ในความฝันก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในการเขียน
จากถ้อยคำของนักเขียนเมืองอู่ฮั่นทั้งสองท่านนี้ เราจะเรียนรู้ได้ว่า ความรักที่มีต่อเมืองอู่ฮั่นของทั้งสองเต็มไปด้วยความเรียบง่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและรู้จักกันดี แต่เมื่อเราได้อ่านหนังสือและผลงานของนักประพันธ์ทั้งคู่ เราจะเรียนรู้ว่า ความรักที่มีต่อเมืองอู่ฮั่นของพวกเธอลุ่มลึกและงดงาม คราวนี้ ในช่วงป้องกันและควบคุมโควิด-19 นางฉือ ลี่ และนางฟางฟาง ได้ใช้ปากกาเป็นอาวุธในการต่อสู้กับไวรัสมรณะ ตัวอย่างเช่น ฟางฟางได้เขียนบันทึกประจำวันตั้งแต่วันที่ปิดเมืองอู่ฮั่น เพื่อแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ ที่เห็นกับตาและความรู้สึกนึกคิดของเธอกับบรรดาแฟน ๆ นับแสนนับล้านคน ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่วรรณกรรมแสดงบทบาทการในปลอบขวัญและให้กำลังใจมนุษยชาติในช่วงวิกฤต
ชื่อเก่าของเมืองอู่ฮั่นคือ “เจียงเฉิง” แปลว่า เมืองริมน้ำ เมืองแห่งนี้มีแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน นั่นก็คือ แม่น้ำแยงซี หรือ แม่น้ำฉางเจียง แม่น้ำที่ยาวที่สุดของจีน และอันดับ 3 ของโลก กับแม่น้ำฮั่น แม่น้ำสองสายนี้แบ่งเมืองอู่ฮั่นเป็น 3 ส่วน คือ ตำบลฮั่นโข่ว ซึ่งเป็นย่านการค้าของเมืองอู่ฮั่น ตำบลอู่ชาง ซึ่งเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม มีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเมืองอู่ฮั่นรวมอยู่ที่นี่ และตำบลฮั่นหยาง ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมการผลิตของเมืองอู่ฮั่น มีทั้งโรงงานเหล็กและเหล็กกล้า รวมไปถึงโรงงานการผลิตรถยนต์ เป็นต้น
ย้อนกลับไปในปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 การค้าต่างประเทศของเมืองอู่ฮั่นคิดเป็น 10% ของทั่วประเทศ ที่นี่มีความสำคัญทัดเทียมกับนครเซี่ยงไฮ้ ทำให้ประเทศต่าง ๆ พากันมาเปิดสถานกงสุลในเมืองอู่ฮั่น นอกจากนี้ อาคารด่านศุลกากรเมืองอู่ฮั่นยังคงเป็นจุดหมายตา หรือ แลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองอู่ฮั่นมาจนถึงปัจจุบัน
ทิม เมืองอู่ฮั่นตั้งอยู่ใจกลางประเทศจีน การคมนาคมพัฒนาก้าวหน้า ทั้งทางน้ำ ทางถนน ทางราง และทางอากาศ
เมืองอู่ฮั่นห่างจากเมืองสำคัญ เช่น กรุงปักกิ่งทางเหนือของจีน นครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน เมืองกว่างโจวทางใต้ของจีน และเมืองเฉิงตูทางตะวันตกของจีน พอ ๆ กัน ประมาณหนึ่งพันกิโลเมตร หากโดยสารรถไฟความเร็วสูงไปเมืองดังกล่าวใช้เวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง เรียกได้ว่าสะดวกมาก แต่ไหนแต่ไรมา เมืองอู่ฮั่นมีสมญาว่า “จิ๋วเสิ่งทงฉวี” แปลว่า เส้นทางใหญ่สู่ 9 มณฑล เปรียบเปรยว่า เมืองอู่ฮั่นเชื่อมโยงกับทุกสารทิศ ย้อนไปในปี ค.ศ.1957 สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีแห่งแรกสร้างขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่เชื่อมทางเหนือกับทางใต้ของจีน
เมืองอู่ฮั่นมีพื้นที่ประมาณ 8,569 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ประมาณ 5 เท่า คิดเป็น 8 เท่าของกรุงปารีส และ 10 เท่าของนครนิวยอร์ค ปัจจุบัน เมืองแห่งนี้พัฒนาเป็นนครสากล มีสายการบินระหว่างประเทศกว่า 60 สาย เชื่อมโยงไปยัง 5 ทวีป
เมืองอู่ฮั่นเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จึงอุดมไปด้วยวัฒนธรรมอาหารเลิศรสอย่างที่กล่าวถึงในวรรณคดี อู่ฮั่นเป็นสวรรค์ของนักชิม โดยเฉพาะอาหารเช้าของเมืองอู่ฮั่น สามารถทานได้ไม่ซ้ำกันนับร้อยวัน อาหารที่ขึ้นชื่อมี เส้นหมี่ “เร่อกันเมี่ยน” หรือ Hot Dry Noodle ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้
อากาศของเมืองอู่ฮั่นต่างกันมากในแต่ฤดูกาล หน้าหนาวหนาวจัด มีหิมะตก ส่วนหน้าร้อนร้อนอบอ้าว เรียกได้ว่าเป็น 1ใน 4 เมืองเตาไฟของจีน อย่างไรก็ตาม เมืองอู่ฮั่นมีแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ นานา ซึ่งช่วยขจัดจุดอ่อนของอากาศไปบ้าง โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวอู่ฮั่นนิยมไปชมดอกซากุระที่มหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ฤดูร้อน นิยมไปชมดอกบัวในทะเลสาบตงหู ฤดูใบไม้ร่วง นิยมชมต้นอ้อริมแม่น้ำแยงซี ส่วนฤดูหนาวนิยมชมดอกเหมยบนภูเขาเซี่ยงโหมวซาน
เมืองอู่ฮั่นเป็นเมืองที่คนนิยมเล่นกีฬา เดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมืองอู่ฮั่นเป็นเจ้าภาพจัดงานกีฬาทหารโลก ทุกปี เมืองอู่ฮั่นมีกิจกรรมกีฬาหลายครั้ง ซึ่งรวมถึง เทศกาลว่ายน้ำข้ามแม่น้ำแยงซีนานาชาติประจำปี ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เดือนกันยายนของทุกปี เมืองอู่ฮั่นจะจัดการแข่งขันเทนนิส Wuhan Open นางลี่ น่า แชมป์เทนนิสหญิงเดี่ยวแกรนด์สแลมคนแรกของเอเชียชาวอู่ฮั่นเป็นผู้ริเริ่มการแข่งขันรายการนี้
เมืองอู่ฮั่นเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนาน มีฐานะสำคัญทางยุทธศาสตร์ และมีวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ถึงขอใช้โอกาสนี้อวยพรให้เมืองอู่ฮั่นพิชิตโควิด-19 ได้โดยเร็ว